
หลวงพ่อพูล วัดไผ่ล้อม นครปฐม หลวงพ่อพูล ชื่อนี้ประจักษ์ในฐานะพระเกจิอาจารย์อันดับแนวหน้าของประเทศไทยและนับเป็นสุดยอดพระผู้ยิ่งใหญ่ด้วยเมตตาบารมี เป็นเนื้อนาบุญอันไพศาล..... ที่ผ่านมาชีวิตของท่านอุทิศแล้วในพระพุทธศาสนา.....ด้วยแรงกายแรงใจช่วยเหลือผู้ยากไร้มิเคยขาด ที่สำคัญท่านพ้นวังวนของกิเลสและตัณหา มุ่งแผ่เมตตาธรรมโดยถ้วนหน้าแก่ทุกชีวิตที่เข้ามาพึ่งใบบุญโดยไม่เลือกชั้นวรรณะ สายตาของท่านมองทุกคนด้วยความเท่าเทียม ทุกคนจึงได้รับจากการปฏิบัติจาก หลวงพ่อพูล อย่างดีมาโดยตลอด
หลวงพ่อพูล เป็นพระที่มีเคร่งครัดพระธรรมวินัย ด้วยความสมถะท่านจะนิ่ง พูดน้อย จนได้รับสมญา “ของจริงต้องนิ่งใบ้” หลวงพ่อพูล ท่านเกิดในสกุล “ปิ่นทอง” เมื่อวันอาทิตย์ที่ 5 พ.ย. 2455 ปีชวด (ร.ศ.131) เป็นบุตรคนที่ 6 ในจำนวนพี่น้อง 10 คน บิดาชื่อ “นายจู ปิ่นทอง” มารดาชื่อ “นางสำเนียง ปิ่นทอง” ณ บ้านเลขที่ 75 หมู่ 3 ต.ดอนยายหอม นครปฐม จบการศึกษาประถม 4 ที่โรงเรียนวัดห้วยจระเข้ นครปฐม ปีพ.ศ. 2471 จากนั้นจึงได้ฝึกอ่านเขียนอักษรขอมและแพทย์แผนโบราณจาก “ปู่แย้ม ปิ่นทอง” ผู้นี้มีศักดิ์เป็นปู่แท้ๆ และได้รับการถ่ายทอดวิชา คาถาอาคม จาก หลวงปู่จ้อย วัดบางช้างเหนือ หลวงพ่อแช่ม วัดตาก้อง หลวงปู่กลั่น วัดพระประโทนเจดีย์ หลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม
วัยหนุ่มหลวงพ่อพูล นั้น ชอบวิชาการต่อสู้ของลูกผู้ชาย จึงฝึกและศึกษาวิชามวยไทย และที่สำคัญท่านเคยเป็นนักมวยฝีมือดีคนหนึ่ง จนมีอายุครบวัยเกณฑ์ทหาร หลวงพ่อพูล ได้ทำหน้าที่พลเมืองดีของชาติ ด้วยการไปทำการคัดเลือกทหาร สังกัดทหารม้า เป็นทหารรักษาพระองค์ กองบัญชาการ เดิมอยู่ที่สะพานมัฆวาน กรุงเทพฯ ซึ่งตรงกับช่วงรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 โดย หลวงพ่อพูล ได้รับยศเป็นนายสิบตรี มีเงินเดือนขณะนั้นเดือนละ 2 บาท
เรื่องการเป็นทหารรับใช้ชาตินี้นับเป็นความภาคภูมิใจของท่านเป็นอย่างมาก หลังจากปลดจากประจำการแล้ว ท่านได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุ เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2480 ตรงกับวันอาทิตย์ขึ้น 12 ค่ำ ปีฉลู ณ พัทธสีมาวัดพระงาม อ.เมือง จ.นครปฐม โดยมี พระครูอุตตการบดี (หลวงปู่สุข ปทฺวณฺโณ) เจ้าคณะ อ.เมือง เจ้าอาวาสวัดห้วยจระเข้ เป็นพระอุปัชฌาย์ หลังบวชแล้ว ได้พำนักอยู่ที่วัดพระงาม ศึกษาเล่าเรียนพระธรรมวินัย สอบไล่ได้นักธรรมชั้นตรี เมื่อ พ.ศ.2482 ในระหว่างนี้เองหลวงพ่อพูลท่านได้ให้ความสนใจศึกษาด้านการเจริญสมาธิจิต ฝึกฝนวิปัสสนากรรมฐาน ตามคำสอนควบคู่กับการศึกษาวิชาอาคม ซึ่งได้รับมอบมาจาก ปู่แย้ม ปิ่นทอง และด้วยพื้นฐานความรู้ที่มีอยู่แล้ว
จึงทำให้ท่านศึกษาถ่ายทอดมหาพุทธาคมได้อย่างรวดเร็ว และที่วัดพระงามนี้ ทำให้ท่านได้มีโอกาสฝากตัวเป็นศิษย์ของ หลวงพ่อพร้อม วัดพระงาม ในกระบวนพระเกจิอาจารย์ที่เป็นบูรพาจารย์ของ หลวงพ่อพูล ซึ่งท่านเคารพนับถือมากรูปหนึ่งคือ หลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม ได้รับคำแนะนำสั่งสอนเรื่องการเจริญสมาธิภาวนา การเขียนอักขระเลขยันต์ ปลุกเสกวัตถุมงคล วิชาอาคมต่างๆ หลวงพ่อเงินเมตตาถ่ายทอดอย่างไม่ปิดบัง ซึ่งเมื่อได้รับคำแนะนำจนเป็นที่มั่นใจแล้ว ท่านจึงออกธุดงค์ไปตามป่าเขาลำเนาไพรฝึกฝนสมาธิจิต และในปี พ.ศ. 2490 วัดไผ่ล้อมเกิดขาดเจ้าอาวาสปกครองวัด เนื่องจากว่าเจ้าอาวาสแต่ละรูปอยู่ปกครองวัดได้ไม่นานต้องลาสิกขาไป
หลวงพ่อพูล ย้ายมาจำพรรษาประจำอยู่วัดไผ่ล้อม พร้อมกับได้ทำการก่อสร้าง และพัฒนาวัดเรื่อยมา ตลอดเวลาท่านพยายามมุมานะในการศึกษาด้านการเจริญวิปัสสนากรรมฐาน และวิชาต่างๆ ที่สามารถที่จะนำไปช่วยเหลือชาวบ้านผู้เดือดร้อนได้โดยตลอดเวลา ปัจจุบันหลวงพ่อพูล อตฺตรกฺโข แห่งวัดไผ่ล้อม อ.เมือง จ.นครปฐม อายุ 94 ปี แม้ท่านจะมีอายุที่มากแล้ว แต่ภารกิจของท่านก็ยังคงต้องมีเรื่องให้ท่านปฏิบัติไม่ว่างเว้นท่านสร้างความเลื่อมใสศรัทธาแก่คนหมู่มาก จากปากต่อปากทำให้มีผู้ที่มาสักการะขอพรจากท่านเป็นจำนวนมากทวีคูณขึ้นเรื่อยๆ จตุปัจจัยไทยทานที่สาธุชนได้บริจาคมานั้น ท่านไม่เคยสะสม มีเท่าไหร่ ท่านก็นำไปบริจาคสร้างถาวรวัตถุ สร้างความเจริญไว้แก่วัดไผ่ล้อมจนเกิดความเจริญรุ่งเรืองแลดูสวยงามสบายตา เหมาะสมที่จะเป็นสถานที่ประกอบพิธีทางศาสนา 94ปีของ พระเดชพระคุณ ท่านเจ้าคุณ พระมงคลสิทธิการ หรือ หลวงพ่อพูล อตฺตรกฺโข ได้ล่วงเลยไปตามวัยของสังขารในฐานะสมภารเจ้าวัดกลับรังสรรค์ผลงานให้กับคณะสงฆ์ได้ดีไม่มีบกพร่อง ทั้งงานด้านปกครองคณะสงฆ์ ด้านสาธารณูปการ ด้านสาธารณสงเคราะห์ โดยเฉพาะด้านศึกษาสงเคราะห์ และเผยแพร่พระธรรมวินัยได้ครบถ้วน สมเป็นพระอาจารย์ที่มีคณะศิษย์ศรัทธาเลื่อมใสทั่วประเทศ
วันที่ 28 ธันวาคม 2547 หลวงพ่อป่วยลง คณะศิษย์ใกล้ชิดได้นำท่านเข้าตรวจเช็คร่างกาย ณ โรงพยาบาลนครปฐม ท่านควรรักษาตัวทีตึกสงฆ์ จนวันที่ 31 ธันวาคม ได้มีงานฉลองสมณศักดิ์พัดยศถวายวัดไผ่ล้อม ซึ่งขณะนั้นหลวงพ่อพูลอาการไม่ดีขึ้นและหมอลงความเห็นว่า หลวงพ่อพูลมีอาการลิ้นหัวใจรั่วและน้ำท่วมปอด ต่อมา 31 มกราคม พ.ศ. 2548 ได้ย้ายหลวงพ่อพูลไปรักษาตัว ที่โรงพยาบาลสมิติเวส กรุงเทพ ทำการรักษาตัวหลวงพ่อและปาฏิหาริย์มีจริง กว่า 4 เดือนที่หลวงพ่อ รักษาตัว เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม อาการหลวงพ่อดีขึ้น จนแพทย์แปลกใจจึงอนุญาตให้กลับวัดได้ ต่อมาวันที่ 17 พฤษภาคม หลวงพ่อได้เข้าร่วมพิธีพุทธาภิเษก พระขุนแผน-กุมารทองแม้ท่านจะนอนอยู่บนเตียง ที่ทางวัดเตรียมให้ ต่อมา 21 พฤษภาคม อาการ หลวงพ่อพูล ทรุดลงอีกครั้ง แต่ปาฏิหาริย์ก็เกิดขึ้นอีกครั้ง
อาการหลวงพ่อพูลดีขึ้น อากาศยามเช้าวันอาทิตย์ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2548 สดใสไร้เมฆฝน กระทั่งเวลา 14.55 น. เสียงเครื่องวัดชีพจรสงบลง ศิษย์ทุกคนตื่นขึ้นหลวงพ่อพูลได้ละสังขารจากพวกเขาไปแล้ว อย่างสงบทิ้งเพียงเสียงธรรมสั่งสอน และคุณงามความดี ที่สั่งสมมาตลอด 93 ปี
อุโบสถหลังใหม่(ใหญ่)และหลังเก่า(เล็ก)วัดไผ่ล้อม
สรีระหลวงพ่อพูลบรรจุโลงแก้ว
ในกาลต่อมา ที่บริเวณนี้ก็ร้างผู้คน ดงไผ่ขึ้นหนาทึบกลายเป็นที่สงบร่มเย็น พระภิกษุผู้แสวงหาธรรมหลายรูปต่างจาริกมาวิเวก ปักกลบำเพ็ญสมณธรรม ชาวบ้านในละแวกใกล้เคียงเห็นว่า สถานที่บริเวณนี้สมควรตั้งเป็นสำนักสงฆ์ จึงได้อาราธนาพระภิกษุจากวัดพระปฐมเจดีย์มาจำพรรษาเป็นครั้งคราว
เมื่อมีภิกษุมาจำพรรษามากขึ้น ผู้คนก็มาอยู่อาศัยมากขึ้น ทำให้ป่าไผ่ที่เคยหนาทึบได้ถูกชาวบ้านหักล้างถางฟันจนหมด เพื่อไปทำที่อยู่อาศัย จะมีหลงเหลืออยู่บ้างก็บริเวณรอบๆ วัดเท่านั้น จึงกลายเป็นที่มาของชื่อวัดว่า “วัดไผ่ล้อม” ในเวลาต่อมา
ที่วัดไผ่ล้อมแห่งนี้ร้างขาดเจ้าอาวาสอยู่นาน กระทั่งปี พ.ศ. 2486 ทางคณะสงฆ์จึงได้แต่ง ตั้งพระอาจารย์พูล อตตรกโข ซึ่งขณะนั้นจำพรรษาอยู่วัดพระงาม อำเภอเมือง จังหวัดนครปฐม ขึ้นดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาส แต่ตอนนั้นที่วัดยังไม่มีอุโบสถไว้ประกอบสังฆกรรม พระอาจารย์พูลจึงปรึกษากับพระเถระผู้ใหญ่ และญาติโยมผู้มีจิตศรัทธาร่วมกันสร้างอุโบสถขึ้น โดยเริ่มก่อสร้างเมื่อ พ.ศ.2490 และแล้วเสร็จในอีก 3 ปีต่อมา
พระอาจารย์พูล ยังได้ดำเนินการสร้างเสนาสนะ ทำให้วัดไผ่ล้อมแห่งนี้มีความเจริญทางถาวรวัตถุขึ้น อาทิ ศาลาการเปรียญ โรงเรียนปริยัติธรรม ศาลาฌาปนสถาน ศาลาปฏิบัติ หอระฆัง กุฎิสงฆ์ โรงเรียนวัดไผ่ล้อม เป็นต้น
พระพิฆเณศวร แกะจากไม้ตะเคียน
เป็นกุมารทองขนาดใหญ่ เนื้อโลหะสัมฤทธิ์ ฐานกว้าง 9 นิ้ว สูง 15 นิ้ว ท่าจึงนำมาประดิษฐานไว้ที่กุฏิของท่าน และตั้งชื่อให้ว่า “กุมารทองสมบัติ” โดยกุมารทองนี้ได้รับการเลื่องลือในเรื่องของโชคลาภ ธุรกิจค้าขาย จึงทำให้มีผู้คนแวะเวียนกันมาไหว้ทุกวัน
ท้าวเวสสุวรรณและท้าวกุเวรมหาราชประทานโชคลาภและความร่ำรวย
นอกจากนี้ยังมี พระพิฆเณศวร ที่แกะจากไม้ตะเคียนศักดิ์สิทธิ์ขนาดใหญ่ มีเศียรเป็นช้าง มีพระกรรณกว้างใหญ่ มีงายาว แต่ทรงมีร่างกายเป็นมนุษย์ มี 4 กร โดยพระพิฆเณศวรนั้น เป็นมหาเทพแห่งความสำเร็จ เทพแห่งชัยชนะ เจ้าแห่งสติปัญญา มีมนต์ขลังพลังอำนาจยิ่งใหญ่ ผู้คนจึงนิยมมากราบไหว้บูชาเช่นกัน อีกทั้งยังมีเจ้าแม่กวนอิมพันกร หัวโขน และพระพุทธรูปอีกด้วย
ส่วนบริเวณด้านนอกข้างศาลากรุวิมานุสรณ์ เป็นที่ประดิษฐาน “ท้าวเวสสุวรรณ” และ “ท้าวกุเวรมหาราช” นับเป็นเทพเจ้ามหาราช เป็นคหบดีใหญ่ ที่ปรากฏมงคลนามตามคัมภีร์เทวกำเนิด โดยเทพทั้ง 2 แกะสลักจากไม้ตะเคียนขนาดใหญ่อายุนับพันปี
หน้าอุโบสถประดิษฐานท้าวเวสสุวรรณ
ท้าวเวสสุวรรณ ท้าวกุเวรมหาราช นั้น มีชื่อเสียงในด้านประทานโชคลาภและความร่ำรวยค้าขายดีมีกำไร การคุ้มครองปกป้องทรัพย์สินที่มีอยู่แล้วให้ปลอดภัยจากบรรดาภูตผีปีศาจอำนาจชั่ว ร้ายทั้งหลายทั้งปวง และได้รับโชคดีมีชัยปลอดภัยตลอดไป
ใกล้กันเป็นที่ตั้งของ “อุโบสถเฉลิมพระเกียรติ” อุโบสถหลังใหม่ของวัดไผ่ล้อมแห่งนี้ สร้างเป็นลักษณะทรงไทยประยุกต์ พื้นปูหินอ่อน บานประตูหน้าต่างไม้สักแกะสลัก 3 ชั้น ประวัติพระพุทธเจ้า 10 ชาติ ส่วนผนังด้านในแสดงภาพจิตกรรมเกี่ยวกับพุทธประวัติ ผนังด้านนอกเป็นลายปูนปั้นรูปเทพทรงพระขรรค์
หลวงพ่อสุโขทัยและจิตกรรมอันสวยงาม
กำแพงแก้วประดับด้วยเสาหงส์คาบไฟ และลูกแก้วองค์พระปฐมเจดีย์ ปูหินแกรนิต ซุ้มเสมา ศิลปะอยุธยา ซุ้มประตูอุโบสถทั้ง 4 ทิศ ปั้นเทพประจำทิศทั้งแปด พร้อมปูนปั้นเป็นรูปท้าวเวสสุวรรณโณ จาตุมหาราชิกา 8 องค์ รักษาอุโบสถทั้ง 4 ด้าน
ด้านในประดิษฐาน “หลวงพ่อสุโขทัย” พระประธานในพระอุโบสถ เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย ศิลปะสุโขทัย เนื้อโลหะลงลักปิดทอง งดงามตามพุทธลักษณะโบราณ ขนาดหน้าตัก 4 ศอก 9 นิ้ว ดำริสร้างโดยหลวงพ่อพูล เมื่อปี พ.ศ. 2540
พระพุทธศิวากร มุนินทรปฏิมากร พระประธานในอุโบสถเก่า
ด้านหน้าพระประธานยังเป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ ซึ่งหลวงพ่อพูลได้รับพระราชทานจากสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก เพื่อให้ประชาชนได้สักการบูชาเพื่อความเป็นสิริมงคลอีกด้วย
ท้าวเวสสุวรรณเฝ้าประตูอุโบสถ
ด้านข้างของอุโบสถหลังใหม่ เป็นที่ตั้งของ “อุโบสถหลังเก่า” ที่สร้างเมื่อปี พ.ศ. 2490 ที่ยังเปิดให้ประชาชนเข้าไปกราบไหว้ขอพร “พระพุทธศิวากร มุนินทรปฏิมากร” พระประธานในอุโบสถ อันเป็นพระพุทธรูปปูนปั้นปิดทอง ปางขัดสมาธิ ศิลปะเชียง และยังมีรูปหล่อหลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม หลวงปู่สุข วัดห้วยจระเข้ และรูปหล่อหลวงพ่อพูล อัตตะรักโข อีกด้วย
ศาลเจ้าแม่ตะเคียนทอง
ด้านข้างของอุโบสถหลังเก่า เป็นที่ตั้งของ ศาลเจ้าแม่ตะเคียนทอง ลักษณะเป็นศาลาทรงไทยแบบโบราณขนาดย่อม โดยเจ้าแม่ตะเคียนนั้นแกะจากไม้ตะเคียนทองอายุหลายร้อยปี ผู้คนนิยมมาบนบานศาลกล่าวในเรื่องของโชคลาภและความรัก และมักจะนำเสื้อผ้าอาภรณ์เครื่องแต่งกายและเครื่องประดับสวยๆมาถวายเป็นประจำ
พระโพธิสัตว์กวนอิมพันมือ แกะจากไม้ตะเคียนโบราณ
และอีกสิ่งสำคัญภายในวัดไผ่ล้อมแห่งนี้ก็คือ “พระโพธิสัตว์กวนอิมพันมือ” ที่แกะจากไม้ตะเคียนโบราณ ที่ได้ชื่อว่าป็นพระโพธิสัตว์กวนอิมพันมือไม้ตะเคียนใหญ่สุดในโลก มีความสูงถึง 632 เซนติเมตร มี 1,262 มือ และ 1,000 ตา ปิดทองแท้ สวยงามอร่ามตาทั้งองค์
ใครที่มีโอกาสไปยังวัดไผ่ล้อมก็อย่าพลาดที่แนะนำ และการเข้าวัดทำบุญก็เป็นการสร้างความสุขให้กับตัวเราเอง ทำให้วันนี้เรามีความสุข วันที่มีความสุขก็ถือเป็นวันพิเศษได้เช่นกัน
“วัดไผ่ล้อม” ตั้งอยู่ที่ ต.พระปฐมเจดีย์ อ.เมือง จ.นครปฐม โทร. 0-3425-0077-9
ปาฏิหาริย์ พ่อพูล โดนจ่อยิงเผาขนไม่ระคายผิว
เหยื่อโจรเมืองกรุง กล่าวต่ออีกว่า ตอนนั้นคิดอยู่อย่างเดียวว่าคนร้ายอยากได้เงินก็เอาไปเลย เเต่รถ จยย.ตนต้องใช้ทำมาหากิน ตนจึงไม่ยอมพร้อมกับขัดขืนต่อสู้กับคนร้าย ทันทีนั้นเองคนร้ายได้ยิงตนชนิดจ่อเผาขน 1 นัด กระสุนพุ่งเข้าที่ราวนมขวาจนตนล้มทั้งยืน รู้สึกเจ็บเเละชาตรงจุดที่ถูกยิง เเต่เมื่อก้มดูกลับไม่เป็นอะไรมาก ใจตอนนั้นคิดว่าหลวงพ่อพูลที่ตนห้อยคออยู่ 3 องค์ คงจะช่วยให้เเคล้วคลาด จึงฮึกเหิมรีบลุกขึ้นมาพร้อมจะลุยกับคนร้ายอีกครั้ง เเต่ก็ไม่ลืมร้องตะโกนเรียกชาวบ้านให้ออกมาช่วย ทำเอาคนร้ายกลัวจนหน้าถอดสีก่อนจะทิ้งรถเเละปืนวิ่งหนีเข้าไปในป่ากก คาดว่าคนร้ายคงเเปลกใจว่าจ่อยิงระยะเผาขนเต็ม ๆ เเต่ตนกลับไม่เป็นอะไรมาก
อย่างไรก็ตามหลังรับเเจ้งเจ้าหน้าที่ได้นำกำลังปิดล้อมพื้นที่นานกว่า 2 ชั่วโมง แต่ยังไม่มีวี่เเววพบตัวคนร้ายเเต่อย่างใด เจอเพียงเสื้อแจ๊กเกตสีดำกับรองเท้า 1 คู่ โดยภายในเสื้อพบบัตรประชาชนระบุชื่อนายโบล (นามสมมุติ) อายุ 17 ปี จึงเก็บไว้เป็นหลักฐาน ซึ่งจะได้เร่งติดตามเจ้าของบัตรมาสอบปากคำว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีหรือไม่ หากมีส่วนเกี่ยวข้องจะได้เเจ้งข้อหาดำเนินคดีทางกฎหมายต่อไป
No comments:
Post a Comment