Monday, November 28, 2011

สมเด็จปรกโพธิ์ เยี่ยวชะนี ปี 2549 พิเศษฝังตะกรุด 3 ดอก




สมเด็จเยี่ยวชะนีนั้น หลวงพ่อตัดท่านได้เคล็ดลับนี้มาจากหลวงพ่อกริช วัดเขากระจิว ในการทำพระพิมพ์สมเด็จเยี่ยวชะนีนั้น มวลสารสำคัญที่ขาดเสียไม่ได้ก็มีอยู่ด้วยกัน 4 อย่างคือ
1.ยอดสวาท
2.ยอดรักซ้อน
3.ว่านสาวหลง
4.เยี่ยวชะนี
ในส่วนของเยี่ยวชะนีนั้น ส่วนใหญ่จะได้มาจากวัดหนองตาแต้ม จ.ประจวบคีรีขันธ์ เพราที่วัดนั้นเลี้ยงชะนีไว้ ส่วนการเก็บเยี่ยวชะนีก็จะเก็บมาโดยเอาใบไม้ที่ชะนีเยี่ยวรดไว้ มาผึงแดด และบดเป็นผงถ้ามีโอกาสจะนำรูปมาให้ชมในโอกาสต่อไปครับ ในส่วนของการปลุกเสกก็ใช้คาถา"นะมหาอ่อนใจ "เป็นหลักในการปลุกเสกวัตถุมงคล ด้านเมตตาของวัดชายนาทั้งหมด ซึ่งวิชานี้หลวงพ่อท่านได้เรียนมาจาก หลวงพ่อเทพ วัดถ้ำรงค์ จ.เพชรบุรีครับผม

สมเด็จเยี่ยวชะนีปรากฏตัวขึ้นครั้งแรกประมาณปี ๒๕๒๗ ออกในนามวัดเขากระจิว ในจำนวนหลักสิบ เป็นพระพิมพ์ปรกโพธิ์ขนาดค่อนข้างใหญ่ รุ่นแรกนี้พอหาได้แต่ราคาเล่นหากันค่อนข้างสูงใน เพดานหลักหมื่น สมเด็จเยี่ยวชะนีที่ออกในชื่อวัดชายนา รุ่นแรก ประมาณปี ๒๕๔๘ ต่อ ๒๕๔๙ ในจำนวนประมาณ ๒๐๐ องค์
รุ่นสองนี้มีจะทั้งพิมพ์สมเด็จและขุนแผนเยี่ยวชะนี รุ่นสองนี้มีฝังตะกรุดทองคำจำนวนหลักสิบ มีราคาทีหากันประมาณ พันปลายๆ ถึงหมื่นต้นๆ
ต่อมาในปี ๒๕๕๐ ได้มีการสร้างสมเด็จและขุนแผนเยี่ยวชะนีผสมผงพรายกุมารหลวงปู่ทิม อีกจำนวนหนึ่ง
ในระยะเวลาไล่เลี่ยกันคือปลายปี ๒๕๕๐ ต่อต้นปี ๒๕๕๑ ได้มีการกดพิมพ์สมเด็จเยี่ยวชะนีอีกครั้ง จำนวนเยอะที่สุดตั้งแต่สร้างมา คือประมาณ ๓,๐๐๐ องค์ มีัวัตถุประสงค์ให้หลวงพ่อปลุกเสก ๕ ปี หรือบรรจุกรุไว้ในโบสถ์ ครบ ๕ ปีแล้วจึงนำออกแจกให้บูชากัน

การสร้างครั้งหลังสุดนี้ได้ทำลายบล็อคทิ้งไปด้วยแล้ว จำนวนพระสมเด็จเยี่ยวชะนีที่สร้างในระหว่างปี ๕๐-๕๑ จึงมีจำนวนประมาณ ๕,๐๐๐ องค์เท่ากับอายุของพระพุทธศาสนา จึงไม่น่าแปลกที่ ผู้ที่ศรัทธาจะนิยมหาสมเด็จเยี่ยวชะนีปี ๔๘ มากกว่า เพราะจำนวนสร้างเพียงแค่ ๒๐๐ องค์ และเนื่องจากพระทั้งหมดใช้บล็อคเดียวกัน การแยกปีหรือรุ่นคงต้องดูความแตกต่างกันที่เนื้อมวลสาร ของแต่ละยุค

ท่านพ่อลี ธัมมธโร วัดอโศการาม สมุทรปราการ ตอนที่ 9 (จบ)

มาบัดนี้จึงได้เริ่มสร้างวัดอโศการาม เพื่อให้เป็นหลักแหล่งของกุลบุตรกุลธิดา สืบต่อไป ในระหว่างอยู่วัดอโศการามเดือนธันวาคม ปี พ.ศ. ๒๕๐๐ ก็ได้รับการแต่งตั้งเป็นพระราชาคณะขึ้นโดยไม่รู้ตัว ในนาม พระสุทธิธรรมรังสีคัมภีรเมธาจารย์จึงได้ตั้งใจอยู่จำพรรษาในวัดนี้เรื่อยมาตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๔๙๙ มาถึงปี พ.ศ. ๒๕๐๒

ในพรรษาปี พ.ศ. ๒๕๐๒ รู้สึกว่าอาการป่วยมารบกวน เริ่มป่วยตั้งแต่กลางพรรษา มานึกถึงการเจ็บป่วยของตัว บางวันบางเวลาก็เกิดความท้อถอยในการที่จะมีชีวิตอยู่คือไป บางวันก็รู้สึกว่าจิตใจขาดกระเด็นไปจากศิษย์ มุ่งไปแต่ลำพังตนคนเดียว มองเห็นที่วิเวกสงัดว่าเป็นบรมสุขอย่างเลิศในทางธรรมะ บางวัน บางเวลา อาการป่วยทุเลา บางวันก็ป่วยตลอดคืนแต่พอทนได้ มีอาการปวดเสียดในกระเพาะ มีอาการจับไข้วันหนึ่งเป็นเวลาหลายๆ ชั่วโมง ฉะนั้นเมื่อออกพรรษาแล้วก็ได้มาพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลสมเด็จพระปิ่นเกล้า

ครั้งแรกได้มารักษาอยู่ที่โรงพยาบาลสมเด็จพระปิ่นเกล้า ตั้งแต่วันที่ ๒ พฤศจิกายน๒๕๐๒ จนถึงวันที่ ๕ เดือนเดียวกันก็กลับไปวัด เมื่อกลับไปวัดแล้ว อาการอาพาธชักกำเริบ พอถึงวันอังคารที่ ๑๐ พฤศจิกายน ๒๕๐๒ ก็ได้กลับมาพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลสมเด็จพระปิ่นเกล้าอีกครั้งหนึ่ง อาการป่วยก็ค่อยทุเลาเบาบาง

อยู่มาวันหนึ่งมานอนนิ่งนึกอยู่คนเดียวว่า เราเกิดมาก็ต้องการให้เป็นประโยชน์แก่ตนและคนอื่น แม้เราจะเกิดอยู่ในโลกที่มีการเจ็บป่วย ก็มุ่งทำประโยชน์ให้แก่โลกและพระศาสนาตลอดชาติ ทีนี้เราเจ็บป่วยเราก็อยากได้ประโยชน์อันเกิดจากการเจ็บป่วยในส่วนตนและคนอื่น ฉะนั้น จึงได้เขียนหนังสือขึ้นฉบับหนึ่ง มีใจความดังต่อไปนี้คือ

ห้องพิเศษ โรงพยาบาลบุคคโล ทหารเรือ

(โรงพยาบาลสมเด็จพระปิ่นเกล้า

เรื่องอาหารของท่านพ่อนั้น ใครๆ อย่าได้ห่วงอาลัย ทางโรงพยาบาลมีทุกอย่างว่าจะต้องการอะไร ฉะนั้น ถ้าใครๆ หวังดีมีศรัทธาแล้ว ให้คิดค่ารถที่นำไปนั้นเสีย คิดค่าอาหารที่พวกเราจ่ายไปนั้นเสีย เอาเงินจำนวนนั้น ๆ ไปทำบุญในทางอื่นจะดีกว่า เช่น หลวงพ่อใช้ยาของโรงพยาบาลไปเท่าไร เหลือจากท่านพ่อแล้วยังเป็นประโยชน์กับคนอื่นที่อนาถาต่อไป ให้พากันคิดเช่นนั้นจะดีกว่ากระมัง และตึกที่ท่านพ่อพักอยู่นั้นเป็นตึกพิเศษ ยังมิได้เปิดรับคนป่วยเลย นายแพทย์ก็ให้เกียรติท่านพ่อเต็มที่ แม้มูลค่าบำรุง ๑ สตางค์ ไม่เคยพูดกันสักคำ

ฉะนั้น ผู้ใดหวังดีแก่ท่านพ่อ ควรนำไปคิดดูก็แล้วกัน ในที่สุดนี้ท่านพ่อจะสร้างเตียงไว้เป็นที่ระลึกสักหน่อย ใครมีศรัทธาติดต่อท่านพ่อได้ หรือผู้อำนวยการและผู้ช่วยอำนวยการที่โรงพยาบาล บุคคโล ทหารเรือ

(ลงนาม) พระอาจารย์ลี

(หมายเหตุ โรงพยาบาลบุคคโล ทหารเรือ ได้รับอนุญาตจากกระทรวงกลาโหมให้เปลี่ยนชื่อใหม่ เมื่อวันที่ ๑๑ พฤศจิกายน ๒๕๐๒ เป็นโรงพยาบาลสมเด็จพระปิ่นเกล้า หลังท่านพ่อเข้ามาพักรักษาตัว ๑ วัน ทั้งๆ ที่ทางโรงพยาบาลได้ขอเปลี่ยนชื่อนี้ไปเป็นเวลานานแล้ว)

เมื่อได้เขียนหนังสือดังกล่าว ได้นึกอยู่ในใจว่า อย่างน้อยควรได้มูลค่าปัจจัยในการช่วยเหลือโรงพยาบาลครั้งนี้ ๓ หมื่นบาท จึงได้ออกประกาศแจ้งความจำนงแก่บรรดาสานุศิษย์ ต่างคนต่างมีศรัทธา บริจาคร่วมกันตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา

ต่อมาเมื่อวันที่ ๑๖ พฤศจิกายน ๒๕๐๒ มีคนจังหวัดสมุทรปราการมาเล่าให้ฟังที่โรงพยาบาล มีใจความ ๒ อย่าง คือ

๑. ได้เกิดมีรถยนต์ชนกัน มีคนตายอีกแถวโค้งมรณะ บางปิ้ง

๒. บางคนก็ว่ามีผีคอยหลอก แสดงให้ปรากฏต่างๆ นานา.

เมื่อได้ทราบดังนี้ จึงได้คิดดำริ ทำบุญอุทิศกุศลให้คนตายด้วยอุปัทวเหตุทางรถยนต์บนถนนสายนี้ จึงได้ไปปรึกษาปลัดจังหวัดสมุทรปราการ และคณะศิษย์ ก็ตกลงกันว่าต้องทำบุญ ได้กำหนดการทำบุญกันขึ้น โดยเริ่มงานตั้งแต่วันที่ ๑๘ ธันวาดม ๒๕๐๒ มีการสวดมนต์เย็นที่ปะรำข้างถนนสุขุมวิท ใกล้ที่ทำงานของตอนการทางสมุทรปราการ จัดการผ้าป่า ๕๐ กอง มีคณะศิษย์ไปร่วมอนุโมทนา คราวนี้ได้เงินสมทบทุนช่วยโรงพยาบาลจังหวัดสมุทรปราการทั้งสิ้น ๑๒,๖๐๐ บาทถ้วน (หนึ่งหมื่นสองพันหกร้อยบาทถ้วน)

วันที่ ๑๙ ธันวาดม ๒๕๐๒ ได้ถวายอาหารพระ ๕๐ รูป ทอดผ้าป่า ๕๐ กองเปลี่ยนซื่อโค้งใหม่ดังนี้

๑. ที่เรียกว่าโค้งโพธิ์แต่เดิมนั้น ให้ชื่อใหม่ว่า โค้งโพธิ์สัตว์

๒. ที่เรียกว่าโค้งมรณะแต่เดิมนั้น ให้ชื่อใหม่ว่า โค้งปลอดภัย

๓. ที่เรียกว่าโค้งมิได้แต่เดิมนั้น ให้ชื่อใหม่ว่า โค้งชัยมงคล

เมื่อสำเร็จเรียบร้อยแล้ว ได้กลับมาโรงพยาบาลตอนบ่ายวันที่ ๑๙ ธันวาคม ๒๕๐๒ ก็ได้พักรักษาตัวอยู่เป็นเวลาหลายวัน นายแพทย์และจ่าพยาบาลได้เอาใจใส่ศึกษาและให้ความสะดวกเป็นอย่างดี เช่น พลเรือจัตวา สนิท โปษกฤษณะ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลได้เอาใจใส่มาก ทุกวันเวลาเช้ามืดได้นำอาหารมาถวายเป็นนิจ คอยปฏิบัติดูแลเหมือนกับลูกศิษย์ และในระหว่างนี้ก็ได้คิดเขียนหนังสือขึ้นฉบับหนึ่ง ชื่อว่า คู่มือบรรเทาทุกข์เพื่อแจกเป็นธรรมทาน ในการสร้างหนังสือนี้ เราก็ไม่ได้รับความลำบาก มีลูกศิษย์รับจัดพิมพ์ช่วย ๒,๐๐๐ เล่ม คือคุณนายละมัย อำนวยสงคราม ๑,๐๐๐ เล่ม ร.ท. อยุธ บุณยฤทธิรักษา ๑,๐๐๐ เล่ม รู้สึกว่าการคิดนึกของตนก็ได้เป็นไปตามสมควร เช่น ต้องการเงินบำรุงโรงพยาบาล มาถึงวันที่ได้ออกจากโรงพยาบาล คือวันที่ ๑๐ มกราคม ๒๕๐๓ รวมเวลาอยู่ในโรงพยาบาล ๔๕ วัน ก็มียอดเงินประมาณ ๓๑ ๕๓๕ บาท แสดงว่าเราเจ็บ เราก็ได้ทำประโยชน์ แม้จะตายไปจากโลกนี้ก็ยังคิดอยู่ว่าชากกเรวรากที่เหลืออยู่ ก็อยากให้เกิดประโยชน์แก่คนที่ยังมีชีวิตอยู่ ตัวอย่างที่เคยเห็นมา เช่น ครูบาศรีวิชัย ซึ่งชาวเมืองเหนือเคารพนับถือ ท่านได้ดำริสร้างสะพานข้ามแม่น้ำปิง แต่ยังไม่สำเร็จก็ตายเสียก่อน ต่อจากนั้นได้มีคนเอาศพของท่านไปตั้งไว้ใกล้ๆ สะพาน ถ้าลูกศิษย์หรือพุทธบริษัทอื่น ๆ ต้องการจะช่วยทำการฌาปนกิจศพท่าน ก็ขอให้ช่วยกันสร้างสะพานให้สำเร็จเสียก่อน ในที่สุด ครูบาศรีวิชัยก็นอนเน่าทำประโยชน์ให้แก่ประชาชนได้

ฉะนั้น ชีวิตความเป็นมาของตน ก็ได้คิดมุ่งอยู่อย่างนี้เรื่อยมา นับตั้งแต่ได้ออกปฏิบัติในทางวิปัสสนากรรมฐานมาแต่ พ.ศ. ๒๔๖๙ จนถึง พ.ศ. ๒๕๐๒ นี้ได้อบรมสั่งสอนหมู่คณะสานุศิษย์ในจังหวัดต่างๆ ได้สร้างสำนึกให้ความสะดวกแก่พุทธบริษัท เช่น จังหวัดจันทบุรี มี ๑๑ สำนัก การสร้างสำนักนี้มีอยู่ ๒ ทาง คือ

๑. เมื่อลูกศิษย์ได้ก่อร่างสร้างตัวขึ้น ยังไม่สมบูรณ์ก็ช่วยเป็นกำลังสนับสนุน

๒. เมื่อเพื่อนฝูงได้ดำริสร้างขึ้นยังไม่สำเร็จ บางแห่งก็ขาดพระ ก็ได้ส่งพระที่เป็นศิษย์ไปอยู่ประจำต่อไปก็มี บางสำนักครูบาอาจารย์ได้ไปผ่านและสร้างขึ้นไว้แต่กาลก่อน ก็ได้เดินทางไปเยี่ยมและอบรมหมู่คณะเรื่อยมาจนบัดนี้ จังหวัดจันทบุรีมี ๑๑ แห่ง นครราชสีมามีสำนักปฏิบัติ ๒-๓ แห่ง ศรีสะเกษ ๑ แห่ง สุรินทร์ก็มี เป็นเพื่อนกรรมฐานทั้งนั้น อุบลราชธานี มีหลายแห่ง นครพนม สกลนคร อุดรธานี ขอนแก่น เลย ชัยภูมิ เพชรบูรณ์ ปราจีนบุรี ระยอง ตราด ลพบุรี ชัยนาท ตาก นครสวรรค์ พิษณุโลก เป็นวันที่ผ่านไปอบรมชั่วคราวไม่มีสำนัก สระบุรีมี ๑ แห่ง อุตรดิตถ์ก็เป็นจุดผ่าน ไปอบรมลำปาง เชียงราย เชียงใหม่ นครนายก นครปฐม ได้ผ่านไปอบรมชั่วคราว ยังไม่มีสานัก ราชบุรีได้ผ่านไปอบรม ยังไม่มีสำนัก เพชรบุรี มีพระเณรเพื่อนฝูงตั้งสานักไว้บ้าง ประจวบฯ  ได้เริ่มสร้างสำนักที่อำเภอหัวหิน ชุมพร มีสำนักอยู่ ๒-๓ แห่ง สุราษฎร์ธานีผ่านไปอบรมชั่วคราว ไม่มีสำนัก นครศรีธรรมราชก็ผ่านไปอบรมมีสำนักขึ้นก็รกร้างไป พัทลุง มีศิษย์ผ่านไปอบรมยังไม่มีสำนัก สงขลามีสำนักที่วิเวกหลายแห่ง ยะลา มีศิษย์ไปเริ่มอบรมไว้เป็นพื้นที่และได้เคยไปอบรม ๒ ครั้ง

ระหว่างออกพรรษาได้สัญจรไปเยี่ยมศิษย์เก่าๆ ของครูบาอาจารย์ที่เคยไปพักผ่อนมาแล้ว ก็ได้ไปอยู่เสมอมิได้ขาด บางคราวก็ได้หลบหลีกไปบำเพ็ญประโยชน์ส่วนตัวบ้าง นับตั้งแต่ได้อุปสมบทมาตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๖๘ แต่มาสวดญัตติใหม่ เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๗๐ จำเดิมแต่นั้นมา ปีแรกที่ได้สวดญัตติแล้ว ได้อยู่จำพรรษาที่จังหวัดอุบลราชธานี ๖ พรรษา มาจำพรรษาวัดสระปทุม พระนคร ๓ พรรษา ไปจำพรรษาอยู่ที่เชียงใหม่ ๒ พรรษา จำพรรษาที่จังหวัดนครราชสีมา ๒ พรรษา จังหวัดปราจีนบุรี ๑ พรรษา มาสร้างสำนักที่จันทบุรี จำพรรษาอยู่ ๑๔ พรรษา ต่อจากนั้นไปจำพรรษาที่ประเทศอินเคย ๑ พรรษา กลับจากประเทศอินเดียผ่านประเทศพม่า ไปจำพรรษาที่วัดควนมีด จังหวัดสงขลา ๑ พรรษา จากนั้นได้จำพรรษาที่วัดบรมนิวาส ๓ พรรษา สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (อ้วน) มรณภาพ แล้วได้ออกไปจำพรรษาอยู่วัดอโศการาม ๔ พรรษา พรรษาที่ ๔ นี้ ตรงกับปี พ.ศ. ๒๕๐๒

เวลาที่ได้เขียนประวัติขึ้นนี้ กำลังนอนป่วยอยู่ที่โรงพยาบาล สมเด็จพระปิ่นเกล้าธนบุรี

วันที่ ๒๖ เมษายน พ.ศ. ๒๕๐๔ เวลากลางคืน ท่านจึงได้ทิ้งขันธ์จากศิษยานุศิษย์ของท่านไป

ดิเรก มณีรัตน์

ผู้บันทึก

ท่านพ่อลี ธัมมธโร วัดอโศการาม สมุทรปราการ ตอนที่ 7

พอออกเดินทางจากภูผาบิ้งมาพักอยู่ที่ตำบลหนึ่ง ชาวบ้านบอกเล่าเหตุการณ์ที่แปลกประหลาด คือเมื่อคืนนี้มีหมอกไหลผ่านไปในสวนใบยา ใบยาร่วงโรยไปหมด อีกครั้งหนึ่งที่อำเภอเถิน ลำปาง ชาวบ้านได้รองน้ำฝนมีสีชากินตายไปสิบกว่าคน ทั้งสองเรื่องที่ได้ฟัง รู้สึกว่าแปลก เพราะตรงกับเรื่องที่ได้เคลิ้มฝัน

ต่อจากนั้นได้เดินทางไปอำเภอวังสะพุง แล้วเดินทางขึ้นภูกระดึงไปพักอยู่ที่ตีนเขาหนึ่งคืน มีลูกศิษย์ติดตามไปด้วย คือเด็กสองคน พระสามองค์ได้เดินทางขึ้นภูกระดึง ถึงสันแปเวลาประมาณหนึ่งทุ่ม เดินจากสันแปไปที่พักราวสามกิโลเมตรเศษ เมื่อขึ้นถึงยอดเขาอากาศเย็นเฉียบ หนาว มีป่าสน วันนั้นพอปีนถึงยอดเขาฝนก็ตก จึงพากันเดินหาที่พัก เห็นขอนต้นสนต้นหนึ่งล้มอยู่ในป่าหญ้าก็ได้ขึ้นนอนบนขอน มีทั้งฝนทั้งลม คืนนั้นเป็นอันไม่ได้หลับนอน พระเณรหนีไปหลบอยู่ทีอื่น พอสว่างขึ้นก็เดินหากัน เมื่อได้พบกัน แล้วได้ไปหาที่พัก พบถ้ำเล็กๆ แห่งหนึ่งมีลานหินสวยงาม มีบ่อน้ำเล็กๆ บ่อหนึ่ง ฝนตกลงมาคืนนั้นน้ำเต็มบ่อพอดี ได้อยู่วิเวก ดูสถานที่ใหญ่กว้าง มีต้นสนมาก มีหญ้าหนา มีความยาวประมาณเจ็ดกิโลเมตร กว้างประมาณเจ็ดกิโลเมตร เมื่อขึ้นไปบนนั้นรู้สึกราวกับว่าเราอยู่บนพื้นดิน แต่ต้นไม้อื่นไม่เกิด มันเกิดอยู่ตามเชิงเขา สันนิษฐานว่าเป็นเพราะบนยอดเขานี้เป็นพลาญหินเสียโดยมาก เพราะสังเกตดูต้นสนที่ล้มลง รากต้นสนแหย่ลงตามซอกหิน

สถานที่นี้อยู่วิเวกสงัดสบายดี ถึงเวลาประมาณบ่ายห้าโมง วันไหนฝนไม่ตก พากันออกมานั่งสมาธิบนลานหิน นึกว่าเราไม่อยากกลับเมืองมนุษย์อยากอยู่ตามป่าตามดงอย่างนี้ ถ้าสามารถเป็นไปได้ ขอให้ข้าพเจ้าสำเร็จในทางอิทธิฤทธิ์ ถ้าไม่สำเร็จขอให้สิ้นภายในกำหนดเจ็ดวัน ขอให้นิพพานในวันที่เจ็ด มิฉะนั้นขอให้เทพเจ้าชักจูงให้ไปอยู่วิเวกห่างชุมนุมชนสักสามปี เมื่อคิดเช่นนี้ คิดยังไม่เสร็จฝนตกลงมาทุกที จึงต้องกลับเข้าถ้ำ

มีเพื่อนพระองค์หนึ่ง ชื่อพระปลัดศรี ไม่เคยเดินดงไปไหน ระหว่างทางชอบขายข้าวขายของ เราก็รำคาญ คือท่านชอบคุยในเรื่องทางโลกมาก เมื่อเดินทางไปพบบ้านใดกันดาร ก็เอาเรื่องลพบุรีมีปลาชุมมาเล่าให้ชาวบ้านฟัง เล่าว่าปลาร้าลพบุรีส่งไปขายถึงจังหวัดชัยภูมิ ได้ฟังแล้วรู้สึกรำคาญใจ เพราะเราไม่ได้มาค้าขาย มาปลีกวิเวก ต้องคอยเตือนเสมอ แต่ท่านมีพรรษามากกว่าเรา เมื่อขึ้นไปอยู่บนเขาก็ชอบก่อไฟ ผิงไฟ เวลาเรานอน ถ้าเราหลับไม่นอนก็ไม่กล้าผิงไฟแล้วก็คุยกัน มีนายมั่นกับนายมนูร่วมวงด้วย

อยู่ได้หลายวันชักจะไม่สงบ วันแรกสบายดี ไม่มีใครพูดคุยกัน เพราะกลัวเสือ ช้าง เพราะเขานี้มีเสือและช้างมาก ได้พักอยู่ห้าคืน พอดีข้าวสารหมด จึงเตรียมการเดินทางกลับ

เมื่อลงจากเขาแล้ว ได้นั่งพักอยู่พื้นราบ มีลูกน้องของฝรั่งเอาเสื่อมาปูนิมนต์ให้นั่ง เราไม่นั่งจึงนิมนต์ปลัดศรีไปนั่ง ท่านไปนั่งได้สักครู่ได้ยินเสียงฟ้าร้องทั้งๆ ที่มีแดด พร้อมๆ กับเสียงฟ้าร้อง กิ่งไม้รังก็หักลงจากต้นใกล้ศีรษะพระปลัดศรีประมาณหนึ่งคืบ ปลัดศรีหน้าเสียรีบลุกขึ้น เราจึงพูดว่า นั่นแหละการไม่สำรวม มักมีเหตุ ตั้งแต่นั้นมาพระปลัดศรีเลยเป็นผู้สงบ

ต่อจากนี้ได้เดินทางมาพักอยู่ที่โรงเรียนแห่งหนึ่งใกล้ผานกเค้า ตกเวลาค่ำดึกสงัด ลูกศิษย์เหนื่อยอ่อน พอตกดึกได้ยินเสียงเดินบุกป่าบุกดง รุ่งขึ้นได้ถามพระที่ไปด้วยว่า เมื่อคืนทำอะไรกัน ได้รับตอบว่า ขโมยกินน้ำตาลของหลวงพ่อ หาบมาหลายวันไม่เห็นฉัน เลยต้มกินกันหมด เมื่อฉันจังหันแล้วพากันออกเดินทางข้ามดงใหญ่ เดินมาได้หนึ่งกิโลเมตร ก่อนจะออกเดินทางได้ตั้งใจไว้ว่า เราจะขี่รถของเราเองให้ถึงอำเภอชุมแพ ซึ่งอยู่ห่างจากที่พักประมาณแปดสิบกิโลเมตร ว่าเราจะไม่ยอมขึ้นรถ จะเที่ยววิเวกไปตามป่า คิดอยู่ไม่กี่อึดใจก็มีรถยนต์คันหนึ่งวิ่งสวน เลยไปจอดอยู่ข้างหน้าประมาณ 4-5 เส้น เห็นผู้หญิงวิ่งมาจากรถ บอกว่า ขอนิมนต์ขึ้นรถๆ เพิ่งซื้อใหม่ มองดูหน้าพระเณรล้วนอยากขึ้น แต่เราไม่พาขึ้น เขาอ้อนวอนอยู่นานก็ไม่ยอมขึ้น พวกเราพากันแบกกลด สะพายบาตรเดินไปทั้งร้อนทั้งแดด เดินไปประมาณ 4 กิโลเมตร เห็นเขามีศาลเจ้าอยู่ข้างหน้า จึงหยุดพักตรวจดูถ้ำ มีหญิงอุ้มลูกมาคนหนึ่ง สะพายตะกวดมา 3 ตัววางไว้ใกล้ที่เราพัก นึกอยากบิณฑบาตตะกวดกับแก แต่ไม่กล้าออกปาก พักอยู่ครู่หนึ่งมีรถ ร.ส.พ. วิ่งมาจากเลย ได้รับเอานายมั่น กับปลัดศรีติดรถมาด้วย คนขับรถกระโดดลงจากรถวิ่งมาหา เขาพูดว่า เห็นท่านเดินถนนหลายวันแล้ว ขอนิมนต์ขึ้นรถ เขาได้อ้อนวอนอยู่หลายนาทีและบอกว่า ไม่คิดค่ารถทั้งหมดรวมทั้งลูกศิษย์ด้วย ลูกศิษย์ต่างเดินอยู่ข้างหน้าก็มี ข้างหลังก็มี จึงตอบว่าขอบใจ ฉันไม่ขึ้น ลูกศิษย์เลยต้องพากันลงจากรถ เดินทางผ่านเข้าดงลาน ดงนี้เป็นป่าดงดิบ

พอถึงเวลาประมาณบ่ายห้าโมง พระปลัดศรีก็เกิดเป็นโรคบิด จึงได้อนุญาตให้ขึ้นรถไปพักคอยที่อำเภอชุมแพ นายมั่นก็เดินไม่ไหว ก็ได้อนุญาตให้ขึ้นรถไปด้วย ตกลงวันนั้นเดินด้วยกันสามคนคือ เรา พระจูม และนายมนู เด็กชาวอุตรดิตถ์ มาถึงที่พักเป็นเวลามืดประมาณสองทุ่ม เรียกว่าบ้านกระทุ่ม หาที่พักลำบาก ได้ไปพักในป่าใกล้น้ำแห่งหนึ่ง ตื่นเช้าบิณฑบาตในบ้าน ฉันแล้วเดินทางต่อ เดินมาได้หนึ่งกิโลเมตร กำลังแดดจัดนั่งพักอยู่ร่มไม้แห่งหนึ่งพอสมควร เวลาประมาณห้าโมงเย็น ฟ้ามืดครึ้มคล้ายฝนจะตก ศิษย์ที่เป็นเด็กเหนื่อยเต็มที่ ไม่ยอมไปพักในป่า ขอตัวจะขึ้นรถไปขอนแก่นก่อน แต่เมื่อเรียกรถทุกคันก็ไม่มีคันใดหยุดรับ สักครู่หนึ่งเกิดมีพายุลมฝนตกใหญ่ เด็กได้เข้าอาศัยพักในบ้านโยม แต่บ้านหลังนั้นได้ถูกลมพัดหลังคาเปิด ตัวเองกับพระจูมเดินทางพักข้างทางรถยนต์ เห็นกระต๊อบหลังหนึ่งกว้างประมาณหนึ่งเมตร ยาวสองจุดห้าเมตร มุงด้วยหญ้าคา ฝนตกหนักพายุแรงพัดกิ่งต้นรังขาด ได้ชวนพระจูมพักที่กระต๊อบ

ท่านจูมกั้นกลดพักอยู่ได้หลังคากระต๊อบซีกหนึ่ง อีกซีกหนึ่งเรายืนพักอยู่ ลมพัดมาอย่างแรงหลังคาซีกที่ท่านจูมกั้นกลด ลมพัดตีปลิวไปกลางทุ่ง ครู่เดียวต้นเต็งรังหักฟาดลงมา ท่านจูมได้วิ่งมาหาเรา กระต๊อบนั้นอาศัยไม่ได้ ได้วิ่งไปพักใต้กอเบญจมาศ หมอบอยู่อย่างสบาย ทั้งหนาวทั้งสั่นประมาณหนึ่งชั่วโมง ลมเงียบ ฝนหยุดตก ผ้าผ่อนเปียกปอน ได้หากระต๊อบพบอีกหลังหนึ่ง จึงก่อไฟขึ้นแล้วนอนอยู่ในกระต๊อบ

ตอนกลางคืนฝนตกลงมาอีก รุ่งขึ้นก็เดินทางมาอำเภอชุมแพ ส่วนเด็กที่ติดตามเดินไม่ไหว ได้ส่งขึ้นรถไปคอยอยู่ชุมแพ จึงต้องเดินทางกับพระจูมเพียงสององค์ เวลาตอนเย็นประมาณห้าโมง ถึงอำเภอชุมแพ พระปลัดศรีเป็นบิดยังไม่หายดี หน้าซีดเซียว แล้วได้พักอยู่ที่นั่นจนสบายพอสมควร ได้ทราบข่าวการจัดงานพระราชทานเพลิงศพสมเด็จฯ ว่าจะจัดทำในเร็วๆ นี้ จึงออกเดินทางจากขอนแก่นโดนขบวนรถเร็วถึง กทม. ราวเดือนเม.ย. 2497

มาถึงวัดบรมนิวาส คณะสงฆ์ได้หารืองานพระราชทานเพลิงศพสมเด็จฯ วันนั้นได้มีการประชุมพระเถระชั้นผู้ใหญ่รวม 11 รูป ตั้งคณะกรรมการดำเนินงานนี้ พอเสร็จเรียบร้อยแล้วไปประชุมที่หอเขียว มีสมาชิกสมาคมอีสานไปร่วมประชุมกันประมาณ 100 คน นายเลื่อน บัวสุวรรณเป็นประธาน พอผ่านขึ้นหอเขียว ได้เห็นพระธรรมปิฏกและพระธรรมดิลก นั่งอยู่ในที่ประชุมด้วย ไม่ได้พูดอะไรเลย ได้ยินแต่หมอฝน แสงสิงห์แก้วพูด เรายืนฟังอยู่ข้างนอก แต่การที่พูดกันในที่ประชุมนั้น เราไม่พอใจ คือเขาวางนโยบายเก็บเงินไปสร้างโรงพยาบาลโรคจิตให้หมอฝน ที่อุบลราชธานี ในนามสมเด็จฯ จึงได้เข้าไปนั่งบนเก้าอี้ ขอโทษที่ประชุมแล้วกล่าวว่า เรื่องที่สนทนานี้ ผมเสียใจ ผมปฏิบัติสมเด็จฯ มาสามปี ตายไปแล้ว 100 กว่าวัน ครูบาอาจารย์และพวกสมาคมมานั่งฟังอยู่ ผมไม่ได้ยินว่าได้ปรารภเพื่อทำงานพระราชทานเพลิงศพสมเด็จฯเลย ทางโรงพยาบาลนั้น ผมฟังดูว่าได้ตั้งงบประมาณ 7 แสนบาท แต่งบประมาณของสมเด็จฯ ไม่เห็นมีใครตั้ง ผมเสียใจมาก ขอโอกาสพูดด้วย

พอพูดเสร็จแล้วหมอฝนพูดว่า เรื่องนี้ได้เรียนจอมพลผินแล้วว่าเงินไม่พอ อยากเก็บเงินในงานนี้ไปสบทบ ท่านจึงได้อนุโมทนามาหนึ่งหมื่นบาท จึงได้พูดเรื่องนี้ขึ้น เลยตอบไปว่า ผิน ผันไม่รู้ ไม่ใช่เรื่องโรงพยาบาล แต่เป็นเรื่องศพ ได้ยินดังนี้หมอฝนก็ลุกหนีไป นายเลื่อนนั่งนิ่งพูดว่า เมื่อเป็นดังนี้ อาจารย์ว่าอย่างไร เจ้าคุณธรรมดิลก เจ้าคุณญาณฯ นั่งนิ่งกันหมด เขาถามอีกว่า อาจารย์จะให้ทำอย่างไร จึงได้ตอบเขาว่า เรื่องโรงพยาบาลไม่รังเกียจ ขอเอาไว้พูดทีหลัง เพราะศพสมเด็จฯ ยังเหม็นอยู่ ควรทำเสียก่อน เมื่อพูดจบแล้ว คุณนายตุ่นฯ ยกมือเห็นด้วยอยู่ข้างหลัง ได้ให้ที่ประชุมบันทึกการประชุมไว้รวม 3 ข้อดังนี้

1. เงินจะได้มาโดยวิธีใด ขอให้รวบรวมทำศพสมเด็จฯ เสียก่อน จนเป็นที่พอใจคณะกรรมการ

2. เมื่อมีเงินเหลือจาการทำศพ ให้ตั้งคณะกรรมการพิจารณามอบหมายเงินก้อนนี้ไปให้โรงพยาบาลต่อไป

3. ไม่ต้องให้เลยก็ได้

เมื่อได้บันทึกเสร็จแล้ว ได้มีคนๆ หนึ่งถามขึ้นว่า ศพนี้ใครจะเป็นคนจัดการ ก็ไม่มีพระองค์ใดตอบ จึงได้ตอบแทนว่า คณะสงฆ์วัดบรมฯ เป็นผู้ดำริทำ มหาวิเชียรฯทำงานอยู่กระทรวงวัฒนธรรมได้พูดขึ้นว่า ท่านเป็นพระ ท่านจะทำศพ ท่านจะใช้จ่ายเงินได้อย่างไร จึงได้ตอบเขาว่า มือของฉันมีมาก กลัวแต่จะไม่มีเงินเก็บ ฉันเก็บไม่ได้ใช้ไม่เป็น ศิษย์ของฉันก้อมี ได้ฟังดังนี้ มหาวิเชียรเลยเงียบ

ในที่สุดวันนั้นจึงได้เสนอว่าคณะกรรมการเก่าขอยกเลิก ขอตั้งใหม่มอบให้เจ้าคุณธรรมปิฎกเป็นประธาน แล้วก็เลิกประชุม

รุ่งเช้าวันหนึ่ง ได้เดินผ่านท่านเจ้าคุณธรรมปิฎก ท่านได้เรียกเข้าไปในห้องและบอกว่า ผมจะบอกอาจารย์เกี่ยวกับเรื่องสมเด็จฯ เพราะผมปิดเป็นความลับ ท่านพูดต่อไปว่า

1. สมเด็จฯ สั่งให้ผมเป็นผู้จัดการฌาปนกิจศพท่านเมื่อท่านมรณภาพไปแล้ว

2. ท่านมอบหมายเครื่องบริขารให้เป็นสิทธิของผม

3. ให้ช่วยปกครองดูแลพระเณรคณะวัดบรมฯ

ก็ตอบท่านว่า " ดีมาก "

ต่อมาได้เปิดเผยเรื่องคำสั่งของท่านสมเด็จฯ ในที่ประชุมคณะสงฆ์จึงได้มอบกิจการถวายท่านเจ้าคุณธรรมปิฏก ก่อนออกจากที่ประชุมได้พูดขึ้นอีกคำหนึ่งว่า ขอโทษพระเดชพระคุณ เมื่อวานผมหมั่นไส้ ทนไม่ไหว เวลาสมเด็จฯ ยังมีชีวิตอยู่ ไม่เคยมีใครพูดเรื่องโรงพยาบาลของท่าน เวลาท่านตายก็ไม่พูดเรื่องทำศพ กลับมาพูดเรื่องโรงพยาบาล ถ้าผมได้พูดไปไม่ดี ไม่ถูก เป็นการเสียหาย ผมจะขอลาออกหนีจากวัด ไม่ขอเกี่ยวข้องในงานศพครั้งนี้ เจ้าคุณธรรมปิฎกจึงได้อ้อนวอนไม่ให้ไป แล้วพูดว่า ที่ท่านอาจารย์พูดนั้นไม่ผิด จึงเป็นอันได้ร่วมมือร่วมใจกันทำงานครั้งนี้ไปจนสำเร็จ

อีกไม่ช้าก็ได้จัดเตรียมงานพระราชทานเพลิงศพสมเด็จฯ ที่วัดพระศรีมหาธาตุ อำเภอบางเขน ซึ่งท่านได้เคยเป็นสมภารคนแรกในการสร้างวัดนี้ วัดนี้เป็นวัดที่คณะรัฐบาลได้จัดสร้างขึ้น เมื่องานได้ผ่านไปเรียบร้อยแล้ว ได้ออกไปจำพรรษาอยู่ที่นาแม่ขาวที่เรียกว่า วัดอโศการาม ทุกวันนี้

ที่ตั้งวัดอโศการามนี้ เดิมเรียกว่า นาแม่ขาว เจ้าของที่ดินคือ นางกิมหงษ์ และนายสุเมธ ไกรกาญจน์ ได้ถวายที่ดินให้สร้างวัดมีเนื้อที่ประมาณ 53 ไร่ เมื่อปี พ.ศ. 2497 จนกระทั่งปี 2498 จึงได้ตั้งสำนักเป็นครั้งแรก โดยให้พระลูกศิษย์คือ พระครูใบฎีกาทัศน์ มาเฝ้าสำนักแทน พร้อมทั้งพระลูกศิษย์อีก 5 รูป รวมที่พระที่สำนักนี้ในครั้งนี้เริ่มตั้งจำนวน 6 รูป

เมื่อออกพรรษาและได้จัดงานพระราชทานเพลิงศพสมเด็จฯ เรียบร้อยแล้ว ปีพ.ศ. 2498 จึงได้ออกไปจำพรรษาที่วัดอโศการาม ในระหว่างนี้ได้เริ่มคิดดำริจัดงานฉลองสมโภช 25 พุทธศตวรรษในปี พ.ศ. 2500 การดำริในเรื่องนี้ได้ดำริมานานปีแล้ว คือตั้งแต่ปีที่ได้เดินทางออกมาจากดงบ้านผาแด่นแสนกันดาร

ในระหว่างที่คิดดำริจะจัดงานฉลองสมโภช 25 พุทธศตวรรษอยู่นี้ ได้เที่ยววิเวกไปตามสถานที่ต่างๆ วันหนึ่งได้ไปตั้งสัจจอธิษฐานอยู่ที่ถ้ำพระสบาย อ.แม่ทะ จ.ลำปาง ได้ตั้งปัญหาขึ้นว่า "งานที่จะทำครั้งนี้เป็นงานใหญ่  แต่เราไม่มีสมบัติอะไร จะทำดีหรือไม่ดีหนอ ขอพระธรรมเจ้าจงบันดาลให้ปรากฏทราบในใจ มิฉะนั้นก็ขอให้เทพเจ้าผู้ปกปักรักษาประเทศชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และเทวดาผู้คุ้มครองรักษาพระแก้วมรกต อันเป็นมิ่งขวัญของคนไทยทั้งหมด จงช่วยกันบันดาลบอกช่องทางให้แก่ข้าพเจ้าด้วย"

อยู่มาวันหนึ่ง ได้เข้าไปในถ้ำลึกอยู่หลังถ้ำพระสบายเข้าไป จุดไฟตะเกียงรั้วไว้หน้าพระพุทธรูป ตรงหน้าพระพุทธรูปปูด้วยกระดาน ส่วนตัวเจ้าของเองไปนั่งบนก้อนหินใหญ่ หันหน้าเข้าฝาในถ้ำ จุดไฟสว่างไว้ตลอดคืน แล้วก็ตั้งอธิษฐานความดำริในใจ

คืนนั้นเวลาประมาณตีสอง จิตใจก็สบายดี ได้มีเหตุการณ์อย่างหนึ่งเกิดขึ้น มีเสียงดังเกรียวกราวลงหน้าพระพุทธรูป ฟังดูไม่ใช่เสียงหิน แต่เป็นเสียงกระจกแตก รอสักครู่หนึ่งจึงได้ลุกขึ้นมาดู เดินรอบๆ สังเกตดูห่างจากตัวประมาณ เจ็ด ศอก แสงไฟก็สว่างทั้งถ้ำ เพราะถ้ำเล็กมีความกว้างเพียง 4 วาเศษเป็นวงกลม สูงประมาณ 10-15 เมตร มีช่องทะลุขึ้นไปบนอากาศ เดินดูรอบๆ แล้วก็ไม่เห็นอะไรเลย จึงกลับเข้าที่เดิมนั่งสมาธิต่อไป ได้นั่งเคลิ้มฝันไป ปรากฏเป็นเทพเจ้ามาพูดบอกว่า " เรื่องการทำงานฉลองสมโภช 25 พุทธศตวรรษนี้ ท่านไม่ต้องคิด แต่ท่านต้องทำ จะทำเมื่อไรต้องสำเร็จ " หลังจากนั้นมาก็มิได้วิตกเรื่องนี้เท่าไรนัก ได้พักวิเวกอยู่เป็นเวลาพอสมควร

ในการมาถ้ำพระสบายคราวนี้ ก่อนจะกลับจากถ้ำ ได้ปรารภถึงเรื่องต้นโพธิว่าอยากได้ต้นโพธิสักสามต้น มาปลูกไว้ที่ถ้ำนี้

ต่อมาได้เดินทางกลับลพบุรี ไปพักอยู่ที่วัดเขาพระงาม พอดีเป็นเวลาตรงกับวันมาฆบูชา จึงได้ชักชวนญาติโยมชาวพระนครและลพบุรี ทำพิธีมาฆบูชาเป็นเวลาสามวัน ได้แสดงธรรมะให้แก่พวกคณะทหารประมาณสามร้อยคน ที่มาทำการเวียนเทียนในคืนนั้นเสร็จแล้วได้เข้าสมาธิอธิษฐานจิตว่า เรื่องงานฉลองสมโภช 25 พุทธศตวรรษนั้น ไม่ทราบว่ามันเป็นอย่างไรรู้สึกข้องใจอยู่ แล้วจึงได้ตั้งอธิษฐานขอถวายชีวิตในวันที่ 15 ค่ำ คือไม่ฉันจังหัน ถวายตาคือไม่ยอมหลับ พากเพียรพยายามอยู่อย่างนั้น ก็ไม่ปรากฏว่ามีเหตุการณ์อันใด

ถึงเวลาจวนสว่างประมาณตีห้า ได้เคลิ้มฝันไปครู่หนึ่งได้เห็นแผ่นดินแยกออก มองลึกลงไป เห็นก้อนอิฐสีแดงๆ หักพังเกลื่อนกลาดทับถมอยู่ใต้ดิน ก็สำนึกขึ้นว่า นี่คือสถานที่บรรจุพระบรมธาตุในสมัยก่อน ได้ผุพังจมดินลงไปมากแล้ว ฉะนั้นท่านต้องเป็นผู้อุปการะช่วยเหลือสร้างพระเจดีย์เพื่อเป็นที่บรรจุพระบรมธาตุต่อไป ภายหลังงานฉลองสมโภช 25 พุทธศตวรรษ มิฉะนั้นจะไม่หมดกรรมหมดเวร แล้วได้เคลิ้มฝันต่อไปอีกครั้งหนึ่งว่า

ในสมัยครั้งก่อนโน้น พระสงฆ์มีธุระประชุมใหญ่กันในประเทศอินเดีย เมื่อได้นัดหมายกันเรียบร้อยแล้ว ตัวเราไม่ได้ไปประชุมกับหมู่คณะ การประชุมนี้เนื่องด้วยการฉลองสมโภชพระบรมธาตุของพระบรมศาสดา ซึ่งเป็นงานสำคัญยิ่ง แต่เราไม่ได้ไปประชุม เพื่อนๆ จึงลงโทษว่า ต่อไปท่านต้องเป็นผู้อุปการะรวบรวมพระบรมธาตุบรรจุไว้ในองค์พระเจดีย์แห่งใดแห่งหนึ่ง เพื่อเป็นประโยชน์แก่พุทธบริษัทต่อไป

เมื่อเคลิ้มฝันได้ดังนั้นแล้ว การดำริที่จะทำงานสมโภช ฯ ก็หนักเข้ามาทุกที

อยู่มาวันหนึ่งเวลาจวนสว่างๆ จึงได้ตั้งอธิษฐานในใจว่า ถ้าข้าพเจ้าจะทำการฉลองสมโภชฯ ให้สำเร็จด้วยดี ขอจงให้พระบรมธาตุที่มีอยู่ในตัวข้าพเจ้านี้ขอให้บังเกิดมีให้ครบจำนวน 80 องค์ มีอยู่ขณะนั้นประมาณ 60 องค์เศษเท่านั้นเมื่ออธิษฐานเสร็จ สว่างแล้ว ฉันจังเสร็จก็เปิดผอบออกนับดู ปรากฏว่ามีพระบรมธาตุครบ 80 องค์บริบูรณ์

ต่อมาในคืนที่สอง ก็ได้ขึ้นไปนั่งสมาธิอยู่บนพระพุทธรูปใหญ่เชิงเขา คืนนั้นมิได้นอน นั่งสมาธิเดินจงกรมอยู่รอบๆ พระพุทธรูปแล้วก็ได้จัดตั้งพานไว้พานหนึ่งพร้อมด้วยดอกไม้ธูปเทียน ทำการอธิษฐานว่า "ถ้ามีการฉลองสมโภชฯ จะสำเร็จ ขออัญเชิญพระบรมธาตุให้เสด็จมาเพิ่มเติมอีก จะเสด็จมาจากไหนก็ตาม พอรุ่งสว่างก็ได้พระบรมธาตุประมาณ 10 องค์ เล็กๆ มีพลอยสีแดงปนอยู่ด้วย ก็รีบจัดเก็บเข้าภาชนะ ไม่บอกให้ใครทราบ แต่นึกว่าเราคงทำงานครั้งนี้สำเร็จ

ในปีนั้นได้เดินทางกลับมาจำพรรษาที่วัดอโศการามเป็นปี พ.ศ. 2499

เมื่อออกพรรษาแล้ว ได้ทราบข่าวว่าได้ปรากฏมีต้นโพธิ์เกิดขึ้นหน้าถ้ำพระสบาย อำเภอแม่ทะ ลำปาง รวมสามต้น สวยงามเพราะขึ้นอยู่บนแท่นหิน ปัจจุบันนี้สูงประมาณแปดศอก

ในระหว่างจำพรรษาปีพ.ศ. 2499 ที่วัดอโศการาม ความดำเรื่องจัดงานฉลองสมโภชฯ ก็หนักแน่นเข้าทุกทีๆ แต่ขณะนั้นยังไม่ตกลงใจว่าจะทำงานนี้ที่ไหนแน่ เพราะเป็นงานใหญ่ไปๆ มาๆ ก็เลยตัดสินใจว่า ต้องทำที่วัดอโศการาม การทำงานนั้นมีอยู่สองอย่างคือ

1. พร้อมเพรียงกันกับพุทธบริษัททั้งหลายจัดทำขึ้น

2. ทำด้วยลำพังตนเองคนเดียว

1. ทำพร้อมกับพุทธบริษัทนั้นมี สาม ชั้นคือ

ชั้นต่ำ

ชั้นกลาง

ชั้นสูงสุด

ความดำรินี้ไม่ได้บอกใคร เป็นแต่ตั้งข้อสังเกตในการทำไว้คนเดียวเฉยๆ

เมื่อได้ทำงานสมโภชฯ สำเร็จเรียบร้อยแล้ว ปรากฏว่า การทำงานครั้งนี้ตกอยู่ในชั้นกลางเท่านั้น ถ้าหากทำได้ถึงชั้นสูงสุดจะไปสร้างฉัตรถวายพระพุทธรูปใหญ่ที่เขาพระงาม ในที่สุดก้อไม่สำเร็จถึงชั้นสูงสุด

2. ทำด้วยลำพังตัวเองคนเดียว ๆ นั้นดีมากที่สุด แต่ไม่เกิดประโยชน์แก่ปวงชน การกระทำอย่างนี้มีสามวิธีคือ

วิธีที่หนึ่ง อย่างชั้นต่ำต้องปลีกตัวหนีจากมนุษย์ หลบอยู่ในป่าดงถึง สามพรรษา จึงจะออกมาเกี่ยวข้องกับมนุษย์ได้

วิธีที่สอง อย่างชั้นกลาง ต้องเข้าไปอยู่ในป่าลึกโดยลำพัง ทำความพากเพียรจนครบไตรมาส สามเดือน ไม่กังวล

วิธีที่สาม อย่างสูงสุด ต้องเอาผ้าแดงผูกคนตัวเองไว้ 7 วัน คือ หมายความว่าภายในเจ็ดวันนี้ จะพยายามสร้างความดี 2 ชนิดคือ

ชนิดที่หนึ่ง ขอให้สำเร็จวิชชา 8 ประการ ภายใน 7 วัน เพื่อจะได้ใช้เป็นเครื่องมือไว้ประกอบศาสนากิจ

ชนิดที่สอง ถ้าไม่สามารถเป็นไปได้ในชนิดที่หนึ่ง ขอให้ถึงที่สุดในวันที่เจ็ด พร้อมด้วยชีวิต เป็นอันไม่หวังกลับ

เมื่อทำได้ตามที่กล่าวมาข้างต้นนี้ จึงจะเป็นผู้หมดโทษและเวรกรรมซึ่งได้ทำกับเพื่อนไว้แต่ปางก่อนในความฝันครั้งนั้น

ต่อมาปลายปีพ.ศ. 2499 ก็จวนแจเวลา แต่ก็ได้เริ่มลงมือทำกิจการไว้บ้างแล้ว คือได้สร้างพระพุทธรูปแบบใบโพธิ์ซึ่งได้ไปจำลองมาจากเมืองพาราณสี ในสมัยที่ได้เดินทางไปอินเดีย และได้รวบรวมผงต่างๆ ไว้หลายสิบแห่ง อาทิเช่นดินจากสังเวชนียสถานในอินเดีย พระเครื่องที่แตกหักตามกรุต่างๆ และเพื่อนฝูงกับลูกศิษย์ได้ส่งจากจังหวัดต่างๆ มาถวายบ้าง มีน้ำมนต์เก่า ๆ  ซึ่งบรรดานักปราชญ์ได้ทำไว้ในสมัยโบราณ ผสมผงเกสรและอักขระ รวบรวมพิมพ์ขึ้นได้ สองชนิดคือ

1. พระผงไม่ได้เผา

2. พระผสมแล้วเผาไฟ

คิดอยู่ในใจว่า เราจะต้องสร้างพระพิมพ์ถึง 1 ล้านองค์ เมื่อลงมือทำแล้ว ได้มานับสำรวจตรวจตราดูในปีพ.ศ. 2499  เมื่อออกพรรษาแล้ว ได้จำนวนพระรวมทั้งสิ้นประมาณ 1 ล้าน 1 แสนองค์เศษ

วันหนึ่งเกิดนิมิตแปลกประหลาด คืนวันหนึ่งเงียบสงัด กำลังนั่งพิมพ์พระพุทธรูปอยู่มีพระบรมธาตุองค์หนึ่งได้เสด็จปาฏิหาริย์มาอยู่บนเตียงนอน มีลักษณะคล้ายรูปพระใบโพธิ์ที่กำลังพิมพ์อยู่ แต่พระใบโพธิ์ที่พิมพ์อยู่เป็นแบบพระแสดงธรรมจักร คือยกพระหัตถ์ สองข้างแบบแสดงพระธรรมเทศนา จึงได้ตั้งชื่อพระพิมพ์นี้ว่า "พระโพธิจักร" พระบรมธาตุองค์นั้นเดี๋ยวนี้ก้อยังอยู่ ยังมิได้บรรจุและยังมีพระบรมธาตุอีกองค์หนึ่ง เป็นแบบพระพุทธรูปนั่งสมาธิเดี๋ยวนี้ก้อยังอยู่

อีกวันหนึ่งไปนั่งสมาธิที่ลพบุรี เงียบสงัด จวนจะสว่างได้เห็นพระบรมธาตุอีกครั้งหนึ่ง เวลาประมาณตีห้า จวนสว่าง ได้มีรูปๆ หนึ่งแปลกประหลาดตกลงมา เป็นรูปคนทำด้วยแก้วเจียระไนสีดำชมพู จึงได้เขียนจำลองรูปไว้จนบัดนี้

เหตุการณ์แปลกประหลาดต่างๆ เหล่านี้ได้เกิดมีขึ้นมาก ขึงได้สั่งเตรียมการเรียกบรรดาพระลูกศิษย์ที่ใกล้ชิดแล้วแจ้งให้ทราบว่า เราต้องทำการฉลองสมโภช 25 พุทธศตวรรษในปี พ.ศ. 2500 ที่วัดอโศการามนี้แน่นอน ได้ตัดสินใจเด็ดขาดในกลางพรรษาปี พ.ศ. 2499 นั่นเอง

เมื่อได้ตัดสินใจเรียบร้อยแล้ว ก็ได้ตรวจดูมูลค่าปัจจัยของตัวเองมีอยู่ประมาณ 200 บาทเศษ แต่ก็ได้สั่งลงมือเตรียมการก่อสร้าง ปลูกปะรำ ทำฉัตร พอเริ่มลงมือก็ปรากฏว่า มีผู้นำเงินมาถวายให้เรื่อยๆ สร้างที่พักได้สองหลังก้อหมดเงิน ระยะนั้นได้ขึ้นไปเยี่ยมจันทบุรี เมื่อกลับมาถึงวัดอโศการาม พ.ต.ท. หลวงวีรเดชกำแหง ได้รายงานว่า เงินจวนหมดแล้วครับ ท่านพ่อจะไปหาที่ไหนในการทำงานครั้งนี้ได้วางแผนไว้ดังต่อไปนี้

1.วัตถุประสงค์ของงาน มีดังนี้

1.1 สร้างพระพุทธรูป 932,500 องค์ และต้องเพิ่มให้เป็นจำนวน 1,000,000 เป็นพระผงและพระดินเผาขนาดหนึ่งนิ้ว เพื่อแจกจ่ายแก่พุทธบริษัททั้งหลาย โดยไม่คิดมูลค่า เหลือจากนั้นแล้วบรรจุในรากฐานพระเจดีย์ต่อไป และจะสร้างพระทองเหลืองอีกสี่ปาง มีจำนวนห้าองค์ คือ ตรัสรู้หนึ่ง แสดงธรรมจักรหนึ่ง แสดงโอวาทแก่พระภิกษุสงฆ์ตอนใกล้จะเสด็จดับขันธปรินิพพานหนึ่ง นิพพานไสยาสน์หนึ่ง พระประธานนั่งสมาธิเพื่อไว้ในโบสถ์หนึ่ง พระเงินขนาดเล็กหนึ่งนิ้ว พระนาก พระทองคำโตขนาดเดียวกัน (หนักหนึ่งบาท สร้างได้ราวสี่องค์) จะสร้างชนิดละห้าร้อยองค์ จะได้บรรจุในองค์พระเจดีย์เพื่อประโยชน์สูงสุดของกุลบุตร กุลธิดาแห่งเราท่านหลายในภายภาคหน้า

1.2 สร้างพระไตรปิฎก สามปิฎก คือ 1. พระสูตร 2. พระวินัย 3. พระปรมัตถ์ รวมเป็น 84.000 พระธรรมขันธ์ ที่แปลเป็นภาษาไทย

1.3 อุปสมบทพระภิกษุ 80 รูป บรรพชาสามเณร 80 รูป บวชนุ่งขาวถือศีล 8 อุบาสกชาย 80 คน อุบาสิกาหญิง 80 คน ถ้ามีจำนวนเกินไปจากที่กำหนดไว้ก็ยิ่งดีการบวชมีกำหนดเจ็ดวัน เป็นอย่างต่ำ เริ่มทำพิธีอุปสมบทตั้งแต่วันขึ้น 14 ค่ำ เดือน 6 ถึง วันแรม 7 ค่ำ ตรงกับวันอาทิตย์ที่ 12 พฤษภาคม 2500 จนถึงวันจันทร์ที่ 20 พฤษภาคม 2500

1.4 เมื่องานนี้สำเร็จจะไปแล้วด้วยดี มีวัตถุประสงค์อีกอย่างหนึ่งคือจะสร้างพระเจดีย์ไว้เป็นที่ระลึก ซึ่งได้เกี่ยวเนื่องในวันสำคัญนี้ เพื่อไว้บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ 1 เพื่อบรรจุพระพุทธรูป 1 เพื่อบรรจุพระธรรม 1 อันเป็นส่วนของข้อธรรม และบริขารอื่นๆ ซึ่งเนื่องด้วยพระพุทธศาสนา พระเจดีย์นั้น จะสร้างกลุ่มเดียวกัน 3 ชั้น ๆ ละ 4 องค์ องค์กลางอีกองค์หนึ่ง องค์กลางเป็นองค์ใหญ่ 4 เหลี่ยม กว้างยาว 3 วา สูง 13 วา นอกนั้นองค์เล็กโดยรอบ

การวางรากฐานพระเจดีย์นี้จะเริ่มกระทำไว้ก่อนงาน สถานที่คือวัดอโศการาม ต.ท้ายบ้าน อ.เมือง จ. สมุทรปราการ ซึ่งต้องการจะให้เป็นสถานที่อบรมพระภิกษุ สามเณร อุบาสก อุบาสิกร ในทางวิปัสสนาธุระ (บำเพ็ญสมาธิภาวนา) ต่อไป

2. พิธีฉลองสมโภชบำเพ็ญกุศลในงาน มีดังนี้

2.1 นิมนต์พระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์วันละ 20 รูป 7 วัน

2.2 สวดพุทธาภิเษกวันละ 8 รูป นั่งปรกวันละ 8 รูป 7 วัน

2.3 เทศน์สังคายนา 5 กัณฑ์ วันละ 1 กัณฑ์ สวดแจงกัณฑ์ละ 40 รูป เพื่อเป็นการบำเพ็ญกุศลอุทิศส่วนบุญให้ญาติของพุทธบริษัทที่ล่วงลับไปแล้ว (ญาติพลี)

2.4 ถวายอาหารบิณฑบาตแก่พระภิกษุสงฆ์ สามเณร ที่นิมนต์มาวันละ 500 รูป 7 วัน ต่อจากนั้นยังมีการบำเพ็ญกุศลเป็นนิจอีกจนครบ 2 สัปดาห์ สัปดาห์ท้ายเลี้ยงพระวันละ 300 รูป 7 วัน

2.5 ในระหว่าง 7 วันนี้ มีการเวียนเทียนสมโภชทุกวัน

2.6 ในวันวิสาขบูชา ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 วันที่ 13 พ.ค. พ.ศ. 2500 ทำพิธีบรรจุวัตถุต่างๆ ในรากฐานพระเจดีย์

2.7 มีการบำเพ็ญกุศลในลัทธิทางจีน คือสวดกงเต๊ก 3 วันและมีเทศน์ตามลัทธินิยมนั้นอีก (วิธีการบำเพ็ญกุศลนอกจากนี้ยังมีอีก)

นอกจากนี้จะสร้างที่พักให้ความสะดวกแก่พระเณรทุกเหล่า สร้างที่พักให้อุบาสก อุบาสิกาได้รับความสะดวก และต้องตั้งโรงครัวประจำในงาน

เมื่อได้เขียนโครงการขึ้นเช่นนี้แล้ว ก็ได้ดำเนินงานไปตามโครงการโดยลำดับ ได้เอาโครงการที่เขียนไว้นี้ให้ศิษย์ดูหลายท่านหลายคน ต่างคนต่างส่ายหัวไปมาแล้วพากันพูดว่า ท่านพ่อจะทำอย่างไร กิจการงานใหญ่โตอย่างนี้ จะไปหาเงินทองที่ไหน แต่ตัวเจ้าของเองนึกรำพึงแต่ในใจว่า เราทำบุญ คนใจบุญต้องมาช่วยไม่ต้องออกฎีกา

ต่อมา เมื่อได้กลับจากจังหวัดจันทบุรีแล้ว จวนเวลาจะเริ่มงานก็มีคนได้นำเงินมาถวายอยู่เรื่อย ๆ ปรากฏว่าได้เงินเป็นจำนวนเกือบหนึ่งแสนบาท มีคนๆ หนึ่งคือ ดร หยุด แสงอุทัย กลัวว่าจะทำงานครั้งนี้ไม่สำเร็จ จึงได้ไปทาบทามขอความช่วยเหลือจากรัฐบาล ได้ไปเจรจากับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม คือพลโท หลวงสวัสดิ์ฯ ซึ่งยังไม่เคยคุ้นเคยกันกับเรา แต่น่าขอบใจท่านๆ ได้พูดกับดร.หยุดว่า ถ้าต้องการเงิน จะช่วยจัดการให้ เรื่องนี้คุณหญิงวาด เลขวณิชธรรมพิทักษ์ ได้นำมาเล่าให้ฟัง จึงได้ตอบไปว่า ไม่ต้องการ

การปลูกสร้างก็ได้เริ่มขึ้นเรื่อยๆ เงินก็มีคนมาทำบุญเรื่อย ๆ โดยไม่ได้แจกฎีการ้องขอจากผู้ใด เป็นแต่บอกเล่าแจกใบปลิวกำหนดการให้ทราบในคณะสานุศิษย์เท่านั้น

ได้เตรียมการภายในวัดก็ได้สำเร็จไปเป็นส่วนมาก สำหรับศาลาโรงพิธีได้มอบหมายให้อาจารย์สุณี (แม้น) ชังคมานนท์ ครูซ่วน อัชกุล คุณทองสุข แม่กิมหงษ์ ไกรกาญจน์ เป็นเจ้าหน้าที่ปลูกสร้างจนสำเร็จ แต่ยังไม่เพียงพอ ได้สั่งให้ขยายหลังคาจากเพิ่มเติมอีกทั้ง 4 ด้าน พ.ต.ท. หลวงวีรเดชฯ พร้อมด้วยพระเณรได้ช่วยกันสร้างนอกจากนี้ยังได้ช่วยกันสร้างโรงครัวชั่วคราว และที่พักชั่วคราวขึ้นอีกหลายหลัง

ที่พักชั่วคราวสร้างเป็นหลังคาจากฝาจากยาวสี่สิบวา

โรงครัวยาวสามสิบวาเศษ กว้างประมาณสามวาหลังคาจาก

ที่พักพระเณรมีห้าหลังๆ หนึ่งยาวสี่สิบวา กว้างห้าวา หลังคาจาก ฝาจาก

ที่พักอุบาสก อุบาสิกาจัดแยกให้อยู่คนละที่ห้าหลัง ยาวหลังละ สี่สิบวา กว้างห้าวา

การปลูกสร้างที่พักชั่วคราวเหล่านี้สิ้นเงินไปประมาณหนึ่งแสนเศษ ศาลาโรงพิธีสิ้นเงินหนึ่งแสน หกหมื่น ห้าพัน ซ่อมถนน รอบวัดโดยมีคุณหญิงวาดฯ เป็นผู้ทำ สิ้นเงินหกหมื่น รวมทั้งหมดสิ้นเงินสองแสนเศษ และอุปกรณ์อื่นๆ ที่จะต้องใช้จ่ายในงานนี้มีอีกมากมาย เงินที่มีอยู่ก็ค่อยๆ หมดไปทุกที แต่ก็ได้มาทุกวัน

พอข้างขึ้น เดือนเม.ย. ก็ได้จัดเตรียมการเป็นการใหญ่ญาติโยม พระเณร ที่อยู่ต่างจังหวัดได้เดินทางเข้ามาประชุมกันเป็นจำนวนมาก นาคที่มาสมัครบวชทั้งหญิงและชายมากมายทวีขึ้นทุกทีจนเลยจำนวนที่ได้กำหนดไว้แต่เดิม

ท่านพ่อลี ธัมมธโร วัดอโศการาม สมุทรปราการ ตอนที่ 8

ถึงวันที่ 11 พ.ค. 2500 ก็ได้เริ่มบวชนาค ในการบวชนาคนี้ได้นิมนต์พระอุปัชฌาย์มาหลายองค์ คือ

1. สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ วัดมกุฎกษัตริยาราม

2. พระพรหมมุนี วัดบวรนิเวศนิหาร

3. พระศาสนโศภณ วัดราชาธิวาส

4. พระธรรมดิลก วัดบรมนิวาส

5. พระธรรมปิฏก วัดพระศรีมหาธาตุ

6. พระญาณรักขิต วัดบรมนิวาส

นอกจากนี้พระอุปัชฌาย์ที่เป็นเพื่อนบ้าง ศิษย์บ้างช่วยกัน เพราะพิธีบวชนาคได้กลายเป็นเรื่องใหญ่โต จึงได้มอบเรื่องนี้ให้พระอาจารย์แดง เป็นผู้ฝึกหัดอบรมสั่งสอนนาคตลอดงาน และให้เป็นพระอุปัชฌาย์ด้วย นอกจากนี้ก็มี พระครูวิริยังค์ จันทบุรี พระอาจารย์สีลา จ. สกลนคร ได้เป็นพระอุปัชฌาย์ด้วย ช่วยกันฝึกซ้อมจัดบริขารในการบวชพระบวชเณรจนสำเร็จ

สรุปแล้วการพิธีบวชนี้มีคนช่วยทั้งหมดโดยไม่ต้องจ่ายเงินกองกลาง บวชจนกระทั่งไม่มีนาคจะให้เขาบวช ต้องประกาศงดรับเจ้าภาพบวชนาคทางเครื่องกระจายเสียง ในพิธีบวชนี้ มีคณะศิษย์เป็นเจ้าภาพในการบวช คิดเป็นเงินทั้งสิ้นประมาณ 138.000 บาท (หนึ่งแสนสามหมื่นแปดพันบาทเศษ)

พิธีบวชเริ่มตั้งแต่วันที่ 11 ถึง 29 พฤษภาคม 2500 ผู้บวชในงานครั้งนี้จำนวนระเภทดังต่อไปนี้ คือ

อุปสมบทพระภิกษุ มีจำนวน 637 รูป

บรรพชาสามเณร    มีจำนวน 144 รูป

บวชอุบาสิกา (ชี)    มีจำนวน 1,240 รูป

บวชพราหมณี        มีจำนวน  340  คน

บวชตาปะขาว       มีจำนวน 34 คน

บวชพราหมณ์       มีจำนวน 12 คน

รวมจำนวนนักบวชทั้งสิ้น   2,407 ท่าน

ในงานฉลองสมโภช 25 พุทธศตวรรษ ได้กำหนดกิจวัตรประจำบรรดาพุทธบริษัท ไว้ดังต่อไปนี้

เวลาเช้า

1.     หลังจากพระฉันจังหันเสร็จแล้ว มีการสวดมนต์ถวายนมัสการพระบรมธาตุ

2.     สวดมนต์ถวายพรพระ

3.     นั่งสมาธิ

เวลาบ่าย

1.     สวดมนต์ถวายนมัสการพระบรมธาตุ

2.      สวดมนต์สมโภช

3.     นั่งสมาธิหรือแสดงธรรมะ

เวลา 16.00 น. หยุดพัก

เวลา 17.00 น. เริ่มเข้าสู่ที่ประชุม แล้วสวดมนต์ถวายนมัสการพระบรมธาตุเวียนเทียน สวดพุทธาภิเษก สวดมนต์สมโภช นั่งสมาธิจนถึงเวลา 24.00 น.ให้ปฏิบัติเช่นนี้ตลอดไปจนเสร็จงาน

ในระหว่างกำลังทำงานนี้อยู่ ก็ได้ดำริขึ้นอีกอย่างหนึ่งว่า อยากจะทอดผ้าป่าที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม เพื่อเป็นการทดแทนความคิดที่เสียไป คือเรื่องมีว่า

ครั้งแรกได้ดำริตั้งมูลนิธิเป็นส่วนกลางของคณะสงฆ์ไทย จึงได้ทำรายงานกราบเรียนสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ วัดมกุฏฯ มีใจความว่า " นิตยภัตของพระสงฆ์ผู้ดำรงตำแหน่งสมณศักดิ์ทุกรูปในประเทศไทย ขอให้ท่านเสียสละเสีย 1 เดือน ในเดือน 6 นี้เพื่อเป็นเครื่องระลึกในโอกาสที่ได้จัดการฉลองสมโภช 25 พุทธศตวรรษ ส่วนตัวเองจะได้หาเงินทุนมาสมทบด้วย ขอให้สมเด็จฯ ได้นำเรื่องเข้าสู่ที่ประชุมคณะสังฆมนตรีด้วยว่า จะเห็นด้วยกับความคิดเห็นอันนี้หรือไม่ ประการใด

สมเด็จฯ ได้เอ่ยขึ้นคำหนึ่งจับใจเรามากว่า "ผมให้ทั้งหมด 1 เดือน ท่านต้องการบริขารอย่างอื่นอีกในงานนี้ ก็ยินดีจะช่วย เมื่อได้ฟังแล้วนึกในใจว่า สาธุสาธุ สาธุ

ในที่สุดสมเด็จฯ ได้เห็นชอบด้วยในความคิดอันนี้ จึงได้นำเรื่องเข้าสู่ที่ประชุมสังฆมนตรีได้ทราบภายหลังว่า ในที่ประชุมสังฆมนตรีวันนั้นต่างองค์ต่างเกี่ยงกัน เป็นอันไม่สำเร็จ

เมื่อเป็นดังนี้จึงคิดทอดผ้าป่าถวายหลวงพ่อแก้วมรกตดีกว่า จึงได้นำความคิดนี้ถวายพระพร พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าประดิษฐาสารี ขอให้พระองค์ท่านทรงเป็นเจ้าภาพในกองผ้าป่าทั้งหมดเป็นจำนวน ๑๖ กอง (กองหนึ่งให้ถวายหลวงพ่อแก้วมรกต) พระองค์ยินดีทรงเป็นเจ้าภาพ ให้ความสะดวก พระองค์ท่านได้รับสั่งให้บริษัท บริวาร ตลอดจนกระทั่งเจ้านาย และพระบรมวงศานุวงศ์มีคณะองคมนตรี เป็นต้น ให้จัดเตรียมการต้อนรับกองผ้าป่าอย่างเต็มขนาด จึงได้จัดกองผ้าป่าขึ้น ได้มูลค่าปัจจัยประมาณ ๓ หมื่นบาทเศษ แบ่งให้กองผ้าป่า ๑๕ กองๆ ละ ๓๐๐ บาทเศษ เงินที่เหลือนอกจากนี้ถวายหลวงพ่อแก้วมรกต เป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น ๒๔,๑๒๒.๓๐ บาท (สองหมื่นสี่พันหนึ่งร้อยยี่สิบสองบาทสามสิบสตางค์) โดยตั้งเป็นบุญนิธิซื่อว่า บุญนิธิ ๒๕๐๐ ปี คณะศิษย์พระอาจารย์ลี วัดอโศการามเพื่อเก็บดอกผลจากบุญนิธินี้ส่งเข้าบำรุงวัดพระศรีรัตนศาสดารามต่อไป ต่อมาได้นำส่งสมทบภายหลังอีกรวมเป็นเงินบุญนิธิทั้งหมด ๕ หมื่นบาทเศษ

วันที่ ๒๐ พฤษภาคม ๒๕๐๐ ตรงกับวันแรม ๗ ค่ำ เดือน ๖ ได้นำขบวนแห่พระพุทธรูป พระบรมธาตุ และกองผ้าป่า ๑๓ กอง จากวัดอโศการามไปทอดที่พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าประดิษฐาสารี ได้มีรับสั่งให้ทางสำนักพระราชวังจัดการต้อนรับ ได้มีการแห่รอบพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ๓ รอบ องค์ท่านพร้อมทั้งคณะองคมนตรี ได้เสด็จมารับกองผ้าป่าในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ท่านได้มีรับสั่งให้ทางสำนักพระราชวังจัดภัตตาหารถวายพระเถระชั้นผู้ใหญ่ที่ได้รับนิมนต์มารับกองผ้าป่ารวม ๑๕ รูป พระเถระที่พระองค์ท่านนิมนต์มานั้น โดยมากนิมนต์จากวัดต่างๆ ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงมีอุปการะมาแต่กาลก่อน เมื่อได้ถวายภัตตาหารเพลแก่พระสงฆ์เรียบร้อยแล้ว พระองค์ท่านก็ได้นำถวายกองผ้าป่าแก่พระเถระที่ได้นิมนต์มาในวันนั้น

เมื่อเสร็จพิธีถวายกองผ้าป่าแล้วได้นำขบวนแห่ออกจากวัดพระศรีรัตนศาสดารามไปรับต้นโพธิ์ที่วัดพระศรีมหาธาตุ อำเภอบางเขน ซึ่งได้ขอจากทางราชการและได้รับอนุญาตแล้ว

ถึงวัดพระศรีมหาธาตุแล้วทำพิธีรับต้นโพธิ์ ๒ ต้น แห่เวียนพระอุโบสถ ๓ รอบ ประกอบพิธีตามทางการ เสร็จแล้ว นำขบวนแห่เคลื่อนออกจากวัดพระศรีมหาธาตุ ไปยังจังหวัดนนทบุรี ต่อจากนั้นคณะศิษย์ได้นำพระบรมธาตุ ต้นโพธิ์ ไปทำการฉลองที่สวนพุทธรักษา อำเภอบางบัวทอง ๑ คืน

รุ่งขึ้น วันที่ ๒๑ พฤษภาคม ๒๕๐๐ พระฉันจังหันแล้ว นำพระพุทธรูป พระบรมธาตุ ต้นโพธิ์ศรีมหาโพธิ์ ลงสู่ขบวนแห่ทางเรือจากอำเภอบางบัวทอง ล่องลงมาตามลำแม่น้ำเจ้าพระยา จนกระทั่งถึงท่าศาลากลางจังหวัดสมุทรปราการ คณะกรรมการทางวัดอโศการาม พร้อมทั้งผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรปราการ ข้าราชการและพุทธบริษัทได้มาต้อนรับอย่างคับคั่ง นำขบวนขึ้นจากเรือ แล้วแห่จากศาลากลางเข้าตลาดเมืองสมุทรปราการ นำขบวนแห่ไปจนถึงวัดอโศการามในตอนบ่าย ฝ่ายพุทธบริษัททั้งหลาย มีเจ้าคุณอมรมุนี วัดจันทนาราม เจ้าคณะจังหวัดจันทบุรี เป็นหัวหน้าต้อนรับขบวนแห่ เมื่อถึงวัดอโศการาม แล้วได้นำขบวนแห่เวียนศาลา ๓ รอบ แล้วนำขึ้นประดิษฐานไว้บนศาลาโรงพิธีพุทธาภิเษก ได้ทำการถวายนมัสการพระบรมธาตุ พระพุทธรูป ต้นโพธิ์และพระสถูปเจดีย์ เสร็จแล้วพักผ่อน เวลา ๑๘.๐๐ น. ตีระฆังประชุมสวดมนต์สมโภช สวดพุทธาภิเษก เวียนเทียน มีพุทธบริษัทมาร่วมสมโภชกันมากมาย

รุ่งขึ้นเช้า วันขึ้น ๙ ค่ำ เดือน ๖ ตรงกับวันที่ ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๐๐ ได้ทำพิธีปลูกต้นโพธิ์ศรีมหาโพธิ์ที่วัดอโศการาม รวม ๔ ต้น ได้มาจากวัดพระศรีมหาธาตุ ๒ ต้น อีก ๒ ต้น ได้มาจากประเทศอินเดีย ต่อมาได้มีศิษย์นำต้นโพธิ์จากประเทศอินเดียมาถวายอีก ๒ ต้นปัจจุบันนี้ที่วัดอโศการามจึงมีต้นโพธิ์ศรีมหาโพธิ์รวม ๖ ต้น

ต่อจากนั้นก็ได้ทำการสมโภชกันตลอดมา อยู่มาวันหนึ่งการเงินชักเบาบาง ฝ่ายคณะกรรมการได้ประชุมหารือกัน จัดทำหนังสือร้องเรียนเพื่อขอความช่วยเหลือจากคณะรัฐบาล มีนางกิมเหรียญ กิ่งเทียน และนางตุ่น โกศัลวิตร เป็นหัวหน้า ได้จัดทำหนังสือขึ้น ๑ ฉบับ แล้วนำมาอ่านให้ฟัง ใจความในหนังสือนั้นมีว่า ขอร้องเรียนนายกรัฐมนตรี คือ จอมพล ป.พิบูลสงคราม ให้ช่วยเหลือเป็นเป็นจำนวน ๕ หมื่นบาท เมื่อได้ทราบเช่นนั้น เขาอ่านให้ฟังยังไม่ทันจบ ก็สั่งให้เผาไฟทิ้งทันที แล้วพูดกับเขาว่า ไม่มีกินในงานครั้งนี้ยอมตายในที่สุดเงินก็ได้ทยอยเข้ามาเรื่อยๆ ไม่ขาด บางท่านก็ได้มาช่วยเลี้ยงพระ ๓ วันบ้าง ๗ วันบ้าง เป็นจีนบ้างไทยบ้าง ในงานนี้ได้มีการสวดพุทธาภิเษกอยู่ถึง ๑๕ วัน โดยมี พลตรีพงษ์ ปุณณกันต์ เจ้ากรมการขนส่งทหารบก เป็นเจ้าภาพพุทธาภิเษกตลอดงาน

คุณหญิงวาด เลขวณิชธรรมวิทักษ์ รับพระมาสวดมนต์ ๓ วัน ๆ ละ ๑๐ รูปพร้อมด้วยเครื่องไทยทาน และเป็นเจ้าภาพเลี้ยงพระอีก ๗ วันๆ ละ ๓๕๕ รูป มีเทศน์ ๒กัณฑ์ มีสวดกงเต๊ก ๓ คืน มีการลอยกระทง และจับสลากให้รางวัลแทนการทิ้งกระจาด คุณนายทองสุข ชุ่มไพโรจน์ เป็นเจ้าภาพเลี้ยงพระ ๓๐๐ รูป ๗ วัน นอกจากนี้ยังมีชาวจีนมาเลี้ยงอาหารเจช่วยอีกหลายวัน และมีญาติโยมคณะศิษย์จัดให้มีการเทศน์สังตายนาอีก ๑๑ เจ้าภาพ ชุดหนึ่งใช้จ่ายเป็นประมาณ ๕,๐๐๐ บาท

นอกจากนี้ทางด้านโรงครัวก็มีผู้ศรัทธามาบริจาคอาหาร ถ้วยชาม ข้าวสาร ฟืน ถ่านทุกอย่าง โดยมากไม่ค่อยได้ซื้อ มีแต่ผู้มีศรัทธานำมาบริจาคเป็นส่วนมาก ฉะนั้น ทางโรงครัวจ่ายเป็นค่ากับข้าววันหนึ่งๆ ไม่เกิน ๕,๐๐๐ บาท ฝ่ายคณะศิษย์ต่างคนต่างได้ช่วยเหลืออย่างเต็มความสามารถ

ฝ่ายพยาบาล ได้รับความช่วยเหลือจาก พลตรี ถนอม อุปถัมภานนท์ นายแพทย์ใหญ่ทหารบก และคุณหญิงสุดใจฯ  ได้ส่งหน่วยพยาบาล พร้อมด้วยนายแพทย์และนายสิบพยาบาลมาประจำตลอดงาน เพื่อช่วยรักษาพยาบาลคนป่วยระหว่างงาน

ฝ่ายรักษาความสงบและจราจร มี พ.ต.อ. สุดสงวน ตัณสถิตย์ หัวหน้ากองสวัสดิภาพประชาชน กรมตำรวจ ได้สั่งให้ตำรวจจราจรไปรักษาการณ์จนตลอดงาน พร้อมทั้งส่งรถดับเพลิงมาประจำตลอดงาน ๑ คัน

ระหว่างนี้การงานก็ดำเนินไปด้วยดี การเงินก็สะดวกขึ้น กิจวัตรประจำวันก็ทำไปตามเคย การบวชก็มีทุกวัน ตลอดงานดินฟ้าอากาศอำนวยให้เป็นอย่างดี ในงานนี้ไม่มีเหตุร้ายเกิดขึ้น ปลอดภัยดีทุกด้าน มีบ้างเล็กน้อยก็ไม่สำคัญอะไรเลย

วันที่ ๑๓ พฤษภาคม ๒๕๐๐ ตรงกับวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ เจ้าภาพได้ทำการหล่อพระพุทธรูปรวม ๔ องค์ หน้าตักกว้าง ๘๐ เซ็นติเมตร คุณหญิงวาด เลขวณิชธรรมวิทักษ์เป็นเจ้าภาพ ๒ องค์ (องค์หนึ่งหล่อถวายท่านพ่อ อีกองค์หนึ่งเพื่อตัวคุณหญิงวาดฯ  เอง ) พระยาเลขวณิชธรรมวิทักษ์ เป็นเจ้าภาพ ๑ องค์ พ.ต.ท. หลวงวีรเดชกำแหง และคุณนายน้อย วีรเดชกำแหง เป็นเจ้าภาพ ๑ องค์ ราคาองค์ละ ๖,๗๙๐ บาท นายกวงหั้ง แซ่เหีย พร้อมทั้งบุตรภริยาหล่อถวายอีก ๑ องค์ได้ทำการหล่อตั้งแต่งานมาฆบูชา นำมาสมทบในงานนี้ด้วย ราคา ๓๔,๐๐๐ บาท รวมทั้งค่าฉลองเสร็จ พระพุทธรูปเหล่านี้ทางวัดไม่ต้องจ่ายเงิน เจ้าภาพจ่ายเอง คิดเป็นเงินทั้งสิ้น ๖๑,๑๖๐ บาท ได้ทำการสมโภชจนสำเร็จ

ฝ่ายมหรสพไม่ค่อยมีคนสนใจดู เพราะตั้งใจมาทำศาสนพิธีมากกว่า คณะศิษย์ชาวจีนนำงิ้ว ๑ โรงมาช่วย ๓ คืน คุณวารี ฉัยกุล อำเภอหาดใหญ่ นำละครมโนห์ราและหนังตลุงอย่างละ ๑ ชุด มาช่วย อยู่จนตลอดงาน มีหมอลำอีสาน ๑ ชุด แอ่วอยู่ ๑ คืน ก็ต้องเลิกมีภาพยนตร์มาช่วยอีก ๒ จอ กิจการเหล่านี้ไม่ต้องจ่ายเป็นเพราะคณะศิษย์นำมาช่วย

ได้ทำการฉลองอยู่อย่างนี้ โดยวิธีการสวดมนต์สมโภช เวียนเทียน สวดพุทธาภิเษก นั่งสมาธิ มีการแสดงธรรมะ ได้นิมนต์พระเถระชั้นผู้ใหญ่มาช่วยแสดงธรรมะ อาทิ สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ วัดมกุฎฯ  ได้มาเทศน์โปรด ๑ กัณฑ์ พระศาสนโศภณ มาเทศน์ ๑ กัณฑ์ นอกนั้นก็แสดงธรรมเป็นครั้งเป็นคราว เจ้าของแสดงเองบ้าง พระอาจารย์ตื้อแสดงบ้าง ได้บำเพ็ญกิจวัตรอย่างนี้ จนกึงวันที่ ๒๙ พฤษภาคม ๒๕๐๐ สรุปแล้วงานครั้งนี้มีสถิติรายรับรายจ่ายทั้งหมดดังต่อไปนี้

ยอดรายรับ ถึงวันที่ ๒๙ พฤษภาคม จำนวน

๘๔๐,๓๔๐.๔๙ บาท

ยอดรายจ่าย ถึงวันที่ ๒๙ พฤษภาคม จำนวน

๔๓๓,๓๒๖.๗๕ บาท

หักแล้วคงเหลือเงิน

๓๐๗,๐๑๓.๗๔ บาท

(สามแสนเจ็ดพันสิบสามบาทเจ็ดสิบสี่สตางค์)

เงินทั้งหมดนี้เป็นเป็นที่พุทธบริษัทได้บริจาคด้วยจิตใจศรัทธา นอกนั้นเป็นเงินแห้ง เช่นบวชนาค เจ้าภาพจัดกันเอง กองกลางไม่รับเงินจำนวนนี้ เทศน์สังตายนา เลี้ยงพระสวดมนต์ สร้างพระพุทธรูป สร้างศาลาโรงพิธี ซ่อมถนนเข้าวัด สวดกงเต็ก เหล่านี้เป็นประเภทเงินแห้ง รวมแล้วหยาบๆ เป็นเงินประมาณ ๓ แสนเศษ เมื่อเสร็จงานแล้วเหลือเงินสดอยู่ในบัญชีเป็นจำนวนเงิน ๓๐๗,๐๑๓.๗๔ บาท (ซึ่ง พ.ต.ท. หลวงวีรเดชกำแหง ได้ฝากไว้ในธนาคาร ตามคำสั่งของท่านพ่อ เงินจำนวนนี้ได้ใช้จ่ายสมทบทุนบำรุงวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ๓ หมื่นบาท และก่อสร้างเพิ่มเติมภายในวัด อาทิเช่น ซื้อเครื่องกำเนิดไฟฟ้าพร้อมทั้งเสาและสายไฟ สร้างโรงครัวถาวร สร้างพระอุโบสถสำรองชั่วคราว ฯ ลฯ  รายละเอียดรายจ่ายเหล่านี้อยู่กับ พ.ต.ท. หลวงวีรเดชฯ  ท่านพ่อได้ตรวจดูแล้ว ส่งหลักฐานการจ่ายให้ พ.ต.ท. หลวงวีรเดชฯ  เก็บรักษาไว้ เงินเหลือนอกจากนี้ ได้มอบให้คณะกรรมการก่อสร้างพระอุโบสถและพระเจดีย์ เพื่อดำเนินการก่อสร้างต่อไป พระอุโบสถนั้นได้เริ่มลงมือก่อสร้างตั้งแต่วันที่ ๑๘ มกราคม ๒๕๐๒ ตามแบบแปลนของกรมศิลปากร)

ในพิธีฉลองครั้งนี้ มีคณะสงฆ์ พุทธบริษัทมาร่วมอนุโมทนา ตลอดจนกระทั่งพระเถระ อุบาสก อุบาสิกา ถึง ๔๕ จังหวัด ต่อจากนั้นก็เป็นอันสำเร็จการ การจัดงานฉลองสมโภช ๒๕ พุทธศตวรรษ ในปี พ.ศ. ๒๕๐๐

ต่อมาเวลาจวนเข้าพรรษา ได้มีเจ้าภาพคนหนึ่ง ชื่อนายธนบูลย์ กิมานนท์ พร้อมด้วยกิริยาและบุตร สร้างพระพุทธรูปถวายในปี ๒๕๐๐ นี้อีก ๑ องค์ คิดราคาค่าก่อสร้างเป็นเงิน ๗๕,๐๐๐ บาท หน้าตัก ๔ ศอก ๔ นิ้ว ทำการฉลองและสร้างแท่นอีก รวมทั้งสิ้นเงินทั้งหมด ๑ แสน ๕ พันบาทเศษ

ระหว่างอยู่จำพรรษา ยังคงมีพระ เณร อุบาสิกา ซึ่งได้บวชเมื่องานฉลองสมโภช ๒๕ พุทธศตวรรษ และยังคงบวชอยู่ร่วมกัน บำเพ็ญกุศลต่อมาในพรรษาอีกเป็นจำนวนมาก

เมื่อออกพรรษาแล้ว ต่างคนต่างกลับไปเยี่ยมบ้านของตน ยังคงเหลืออยู่จนกระทั่งปัจจุบันนี้ก็ยังมี ส่วนตัวเราได้ออกไปเยี่ยมความทุกข์สุขของคณะศิษย์ที่ได้มาร่วมงานสมโภชครั้งนี้หลายแห่ง

ในปี พ.ศ. ๒๔๙๙ นี้ได้รับแต่งตั้งสมณศักดิ์ เป็นพระครูสัญญาบัตรชั้นเอกในนามว่า พระครูสุทธิธัมมาจารย์เมื่อวันที่ ๕ เดือนธันวาคม ๒๔๙๙ ซึ่งตนของตนไม่เคยคิดนึกและไม่รู้ตัว ต่อจากนั้น เมื่อออกพรรษาแล้วก็ได้ขึ้นไปเยี่ยมจังหวัดลำปาง อยากไปสร้างพระเจดีย์สัก ๑ องค์ที่ถ้ำพระสบาย เมื่อได้ไปถึงจังหวัดลำปางก็ได้ทราบว่า ได้มีต้นโพธิ์เกิดขึ้นแล้ว๓ ต้น ที่หน้าถ้ำพระสบาย ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๔๙๙ บัดนี้ต้นโตสูงแล้วก็รู้สึกดีใจมาก ในที่สุดก็ได้สร้างพระเจดีย์ไว้องค์หนึ่งแล้วบรรจุพระบรมธาตุไว้ที่ถ้ำนั้น มีเจ้าแม่สุข ณ ลำปาง คุณนายกิมเหรียญ กิ่งเทียน แม่เลี้ยงเต่า จันทรวิโรจน์ และคณะอุบาสก อุบาสิกา ได้ช่วยร่วมมือกันเป็นผู้อุปการะ พร้อมคณะศิษย์ทั้งพระและฆราวาสช่วยกันจนสำเร็จสมความปรารถนา ได้นำต้นโพธิ์อินเดีย ๑ ต้นไปปลูกไว้ที่ถ้ำด้วย

ต่อจากนั้น ได้เดินทางไปเชียงใหม่ อุตรดิตถ์ พิษณุโลก นครสวรรค์ ลพบุรี เที่ยวจาริกสัญจรไปในระหว่างเวลาออกพรรษาทุกปี การทำเช่นนี้ ก็เพราะได้คิดเห็นว่า การที่จะอยู่ประจำวัดเฉยๆ ก็เปรียบเหมือนรถไฟที่จอดนิ่งอยู่ที่สถานีหัวลำโพง ประโยชน์ของรถไฟที่จอดนิ่งอยู่กับที่มีอะไรบ้าง ทุกคนคงตอบได้ ฉะนั้น ตัวเราเองจะมานั่งอยู่ที่เดียวนั้น เป็นไปไม่ได้จำเป็นจะต้องออกสัญจรอยู่อย่างนี้ตลอดชาติ ในภาวะที่ยังบวชอยู่

การประพฤติเช่นนี้ บางครั้งหมู่คณะก็ตำหนิโทษ บางคราวก็ได้รับคำชมเชย แต่ตนเองเห็นว่าได้ผลทั้งนั้น เพราะได้รู้จักภูมิประเทศ เหตุการณ์ ขนบธรรมเนียมประเพณีของพระศาสนาในที่ต่างๆ บางอย่างบางชนิดเราอาจโง่กว่าเขา บางอย่าง บางหมู่คณะ บางสถานที่เขาอาจดีกว่าเรา ฉะนั้น การสัญจรไปจึงไม่ขาดทุน นั่งอยู่นิ่งๆ ในป่าก็ได้ประโยชน์ ถ้าถิ่นไหนเขาโง่กว่าเรา เราก็เป็นอาจารย์ให้เขา หมู่ไหนฉลาดกว่าเรา เราก็ยอมตนเป็นศิษย์เขา ฉะนั้น การสัญจรไปมาจึงไม่เสียประโยชน์ อีกประการหนึ่ง ที่เราชอบไปอยู่ตามป่าตามดงนั้นได้เกิดความคิดหลายอย่างคือ

๑. เป็นประเพณีของพระพุทธเจ้า เพราะพระองค์ประสูติในป่า ตรัสรู้ในป่า ดับขันธ์ปรินิพพานในป่า แต่ทำไมพระองค์จึงสามารถทำความดีไปฝังไว้กลางพระมหานครได้ เช่น ได้ไปทรงขยายกิจการ พระศาสนาให้แก่พระเจ้าพิมพิสาร ราชาแห่งกรุงราชคฤห์ เป็นต้น

๒. พิจารณาเห็นว่าการหลบ ดีกว่าการสู้ เพราะเรายังไม่ได้เป็นผู้วิเศษ ตราบใดถ้าเราได้เป็นผู้มีหนังเหนียว สามารถทนทานต่อลูกปืน หอก ดาบได้แล้ว เราจึงควรอยู่ในที่ชุมนุมชน ฉะนั้น จึงคิดว่าหลบดีกว่าสู้ คนที่รู้จักหลบ เขาบอกว่า รู้จักหลบเป็นปีก รู้จักหลีกเป็นหางแปลความหมายว่า ลูกไก่ออกมาจากไข่ตัวเล็กๆ ถ้ามันเข้าใจหลบ มันก็ไม่ตาย มีโอกาสได้เติบโตออกปีกออกขน สามารถช่วยตนเองในกาลข้างหน้าได้ รู้จักหลีกเป็นหาง เช่นหางเสือที่วิ่งในน้ำ ถ้าคนถือท้ายรู้จักงัดหรือกด ก็สามารถนำเรือนั้นวิ่งหลบการเกยตอและหาดได้อย่างดี เรือจะหลบได้ต้องอาศัยหางเสือ ตนของตนเองเมื่อคิดได้เช่นนี้ จึงมีนิสัยชอบอยู่ป่า

๓. มานึกถึงหลักธรรมชาติ ก็เป็นสถานที่ที่สงัดสงบ ได้สังเกตเหตุการณ์ในภาวะของภูมิประเทศ เช่น สัตว์ป่าบางเหล่าเวลานอนนอนผิดกับสัตว์ในบ้าน มันก็เป็นข้อเตือนใจได้ ตัวอย่างเช่น ไก่ป่า หูตาว่องไว หางกระดก ปีกแข็ง ขันสั้น วิ่งเร็ว บินไกล ลักษณะเหล่านี้เกิดจากไหน ได้นำมาเตือนใจแล้วเกิดความคิดว่า ไก่บ้าน ไก่ป่า เป็นสัตว์ตระกูลเดียวกันแต่ไก่บ้าน ปีกอ่อน ขันยาว หางตก งุ่มง่าม มีกิริยามารยาทต่างกัน ก็นึกได้ว่า เกิดจากความไม่ประมาท เพราะสถานที่นั้นมีภัยอันตรายรบกวน จะไปทำตนเหมือนไก่บ้านก็ต้องเสร็จงูเห่าและพังพอน

ฉะนั้น เวลาจะกิน จะนอน ลืมตา หลับตา มารยาทของไก่ป่าต้องเข้มแข็ง จึงจะปลอดภัยอยู่ได้ ตัวเราฉันใดก็ฉันนั้น ถ้าขืนแช่อยู่ในหมู่คณะก็เหมือนมีดเหมือนจอบปักจมอยู่ในพื้นดิน ทำให้สึกหรอได้ง่าย ถ้าถูกหินถูกตะไบขัดถูอยู่เป็นนิจ สนิมก็ไม่มีโอกาสเกิดขึ้นได้ ใจของเราตั้งอยู่ในความไม่ประมาท ฉะนั้น จึงชอบอยู่ในป่าเสมอมา เป็นการได้ประโยชน์ ได้คติเตือนใจหลายอย่าง

๔. มาระลึกถึงคำสอนที่พระพุทธเจ้าทรงสอนในครั้งแรก ซึ่งเป็นประเพณีของสมณะเป็นคำสอนที่ชวนให้คิดอยู่มาก คือครั้งแรกพระองค์ทรงสอนธรรมะก่อนพระวินัย เช่นเวลาอุปสมบทได้สอนพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ แล้วก็สอนกรรมฐาน ทั้ง ๕ มีเกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ เป็นต้น ต่อจากนั้นก็ได้ให้โอวาทแก่ผู้บรรพชาอุปสมบท มีใจความอยู่ ๔ อย่าง คือ

(๑) ให้ถือการเที่ยวบิณฑบาตเป็นวัตร แสดงตนเป็นผู้ขอ แต่พระองค์ไม่ให้แสดงตนเป็นคนยากจน เช่น เขาให้เท่าไรก็ยินดีเท่านั้น

(๒) พระองค์ทรงสอนให้ไปอยู่ในที่สงัด ที่เรียกว่า รุกขมูลเสนาสนะมีบ้านร้าง สูญญาคาร หิมมิยัง เงื้อมผา คูหาถ้ำ สถานที่ต่าง ๆ เหล่านี้ มีปัญหาว่าพระองค์ทรงเห็นประโยชน์อะไรหรือ จึงได้สอนเช่นนั้น แต่ตัวเองก็นึกเชื่อออยู่ในใจว่า ถ้าเรื่องเหล่านี้ไม่มีประโยชน์ พระองค์คงไม่สอน ถึงกระนั้นก็ยังมีความรู้สึกลังเลใจอยู่ จนเป็นเหตุให้สนใจในเรื่องนี้

(๓) พระองค์สอนให้ถือผ้าบังสุกุลเป็นเครื่องใช้สอย ตลอดจนให้ถือเอาผ้าพันผีตายมาใช้นุ่งห่ม ก็เป็นเหตุให้ตัวเองนึกถึงเรื่องตายว่า การนุ่งห่มผ้าพันผีตายมีประโยชน์อะไรบ้าง ข้อนี้พอได้ความง่ายๆ คิดดูโดยหลักธรรมดาก็จะเห็นได้ว่า ของตายนั้นไม่มีใครต้องการอย่างหนึ่ง อีกอย่างหนึ่งก็คือของตายเป็นของไม่มีพิษไม่มีโทษ

ในข้อนี้พอจะน้อมนึกตรึกตรองได้อยู่บ้าง ว่าพระองค์ได้สอนไม่ให้เป็นผู้ทะนงตัวในปัจจัยลาภ

(๔) พระองค์สอนให้บริโภคยารักษาโรคที่หาได้อย่างง่ายๆ เช่นให้ฉันยาดองด้วยน้ำมูตรเน่า

คำสอนต่างๆ ของพระองค์ดังกล่าวมาข้างต้นนี้ เมื่อเราได้รับฟังเข้าแล้วเป็นเหตุให้เกิดความสนใจ แต่เมื่อสรุปแล้ว จะได้รับผลหรือไม่ได้รับผลก็ตาม แต่เรามีความเชื่อมั่นอยู่อย่างหนึ่งว่าพระองค์ไม่ใช่บุคคลที่งมงาย เรื่องใดที่ไม่มีเหตุผลพระองค์คงไม่ทรงสั่งสอนเป็นอันขาด

ฉะนั้น จึงได้มาระลึกนึกคิดว่า ถ้าเราไม่เชื่อในคำสอนของพระองค์ เราก็ควรยอมรับนับถือตามโอวาท หรือถ้าเราไม่เชื่อความสามารถของผู้สอนเรา เราก็ควรทำตามไปก่อนโดยฐานะที่ทดลองดูเพื่อเป็นการรักษาสังฆประเพณี ระเบียบแบบแผนของผู้ที่เราเคารพนับถือกราบไหว้เอาไว้ก่อน

อีกประการหนึ่งได้ระลึกถึงคำพูดของพระมหากัสสปะ ซึ่งเป็นผู้ถือเคร่งครัดในธุดงค์ เช่น ถือการอยู่ป่า ฉันอาหารแต่มื้อเดียว ถือผ้าบังสุกุลเป็นวัตร ท่านได้ขอปฏิบัติตัวของท่านอย่างนี้ตลอดชีพ ในเรื่องนี้พระองค์ได้ทรงซักถามพระมหากัสสปะว่า ท่านเป็นผู้สิ้นอาสวะแล้ว ท่านขวนขวายเพื่อเหตุอะไรพระมหากัสสปะตอบว่า ข้าพระองค์มุ่งประโยชน์ของกุลบุตรผู้จะเกิดตามมาสุดท้ายภายหลังไม่ได้มุ่งประโยชน์ส่วนตัว เมื่อข้าพระองค์ไม่ทำ จะเอาใครเป็นตัวอย่าง เพราะการสอนคนนั้นถ้ามีตัวอย่างสอนได้ง่าย เปรียบเสมือนการสอนภาษาหนังสือ เขาทำแบบหรือรูปภาพประกอบการสอน เป็นเหตุให้ผู้เรียน เรียนได้สะดวกขึ้นอีกมาก ถ้าพระองค์ประพฤติเช่นนี้ฉันใด ก็ฉันนั้น

เมื่อได้ระลึกถึงคำพูดของพระมหากัสสปะ ซึ่งได้ทูลตอบพระบรมศาสดาเช่นนี้ ก็สงสารพระมหากัสสปะท่านอุตส่าห์ตรากตรำทรมาน ถ้าเปรียบในทางโลกท่านก็เป็นถึงมหาเศรษฐี ควรได้นอนที่นอนที่ดีๆ กินอาหารที่ประณีต ตรงกันข้าม ท่านกลับสู้อุตส่าห์มาทนลำบากนอนกลางดิน กินกลางหญ้า ฉันอาหารก็ไม่ประณีต เปรียบเทียบกับตัวเราเสมอเพียงแค่นี้ จะมาหาแต่ความสุขใส่ตัวแค่อามิส ก็บังเกิดความละอายใจ สำหรับพระมหากัสสปะเวลานั้นท่านจะบริโภคอาหาร นั่ง นอน ในที่สวยงามเท่าไรก็ตาม ย่อมไม่มีปัญหาใดๆ ที่จะเป็นไปเพื่ออาสวะกิเลสเสียแล้ว แต่ว่าเป็นของไม่แปลก ท่านกลับเห็นประโยชน์ที่จะเกิดแก่บรรดาสานุศิษย์

ฉะนั้น เรื่องราวต่างๆ เหล่านี้ ล้วนแต่เป็นข้อสะกิดใจเรามานับตั้งแต่เริ่มบวชในครั้งแรก

เมื่อพูดถึงเรื่องการอยู่ป่า ก็เป็นของแปลกประหลาดเตือนใจเราอยู่มาก เช่น บางคราวได้มองเห็นความตายอย่างใกล้ชิด และได้รับคำเตือนใจหลายอย่าง บางคราวก็เกิดจากคนในป่า บางคราวก็เห็นพฤติการณ์ของสัตว์ในป่า สมัยหนึ่ง มีตาแก่ยายแก่สองคนผัวเมีย พากันไปตักน้ำมันยางในกลางดงใหญ่ เผอิญไปพบหมีใหญ่ตัวหนึ่ง ได้เกิดการต่อสู้กันขึ้น เมียหนีขึ้นต้นไม้ทัน แล้วร้องตะโกนบอกผัวว่า ถ้าสู้มันไม่ไหว ให้ลงนอนหงายนิ่งๆ ทำเหมือนคนตาย อย่ากระดุกกระดิก ฝ่ายผัวพอได้ยินเมียร้องบอกดังนั้นก็ได้สติ แกจึงแกล้งล้มลงนอนแผ่ลงกลางพื้นดิน และนอนนิ่งๆ ไม่ไหวตัว เมื่อหมีเห็นดังนั้นก็ขึ้นคร่อมตัวตาแก่ไว้ ปล่อยมือปล่อยตีน ไม่ตะปบตาแก่อีก เป็นแต่มองดูตาแก่ที่กำลังนอนหงายอยู่นั้น ตาแก่ก็ได้แต่นอนบริกรรมภาวนาได้คำเดียวว่า พุทโธ พุทโธพร้อมทั้งนึกในใจว่า เราไม่ตายหมีก็ดึงขา ดึงศีรษะแกแล้วใช้ปากดันตัวแกทางซ้ายทางขวา แกก็ทำเป็นนอนตัวอ่อนไปอ่อนมาไม่ยอมฟื้น หมีเห็นดังนั้นก็คิดว่าตาแก่คงตายแล้ว มันจึงหนีไป ต่อจากนั้นสักครู่หนึ่งแกก็ลุกขึ้น เดินกลับบ้านกับเมีย บาดแผลที่แกได้รับคือหัวถลอกปอกเปิกแต่ไม่ตาย แกก็สรุปให้ฟังว่า สัตว์ป่าต้องเป็นอย่างนี้ ถ้าเราเห็นว่าจะสู้ไม่ไหว ต้องทำตัวเหมือนคนตาย

เมื่อเราได้ฟังแกเล่าแล้ว ก็ได้ความรู้ขึ้นอีกอย่างหนึ่งว่า คนตายไม่มีใครต้องการ เราอยู่ในป่าเราก็ควรทำตนเหมือนคนตาย ฉะนั้นใครจะว่าดีหรือชั่วประการใด เราต้องนิ่งสงบกาย วาจา ใจ จึงจะรอดตาย เป็นอุทาหรณ์เตือนใจได้อีกอย่างหนึ่งในทางธรรมะว่า คนที่จะพ้นตาย ต้องทำตนเหมือนคนตายก็เป็นมรณสติเตือนใจได้เป็นอย่างดี

อีกครั้งหนึ่ง ได้ไปพักอยู่ในดงใหญ่แห่งหนึ่ง วันหนึ่งเวลาเช้าสางๆ ได้พาลูกศิษย์ออกบิณฑบาต พอเดินผ่านดงไปได้ยินเสียงแม่ไก่ร้อง กะต๊ากๆฟังเสียงดูเป็นเสียงไก่แม่ลูกอ่อน เพราะเมื่อส่งเสียงร้องแล้วไม่ยอมบิน จึงให้ลูกศิษย์วิ่งไปดู แม่ไก่ตกใจก็บินข้ามต้นไม้สูงหนีไป เห็นลูกไก่วิ่งอยู่หลายตัว มันพากันวิ่งหนีเข้าไปซุกซ่อนตัวอยู่ในกองใบไม้ร่วง แล้วทุกตัวก็นิ่งเงียบ ไม่ยอมไหวตัวไม่ยอมกระดุกกระดิก แม้จะเอาไม้คุ้ยเขี่ยดู ก็ไม่ยอมกระดุกกระดิก เด็กลูกศิษย์ไปหาอยู่พักหนึ่ง ไม่ได้พบลูกไก่เลยแม้แต่ตัวเดียว แต่เรานึกในใจว่ามันไม่ได้หนีไปไหน แต่มันทำตัวเหมือนใบไม้ร่วง ในที่สุดลูกไก่ตัวนิดๆ จับไม่ได้สักตัวเดียว เรื่องนี้ก็เป็นเหตุให้นึกถึงสัญชาตญาณการป้องกันภัยของสัตว์ ว่ามันก็มีวิธีการที่ฉลาด มันทำตัวของมันให้สงบ ไม่มีเสียงในกองใบไม้ร่วง จึงได้เกิดการนึกเปรียบเทียบขึ้นในใจตนเองว่า ถ้าเราอยู่ในป่า ทำจิตให้สงบไม่ไหวตัวเช่นเดียวกับลูกไก่ เราก็ต้องได้รับความปลอดภัย พ้นความตายแน่นอนก็เป็นคติเตือนใจได้อีกเรื่องหนึ่ง

นอกจากนี้ เมื่อนึกถึงธรรมชาติอื่นๆ เช่น ต้นไม้ เถาวัลย์ สัตว์ป่า แต่ละอย่างเหล่านี้ ล้วนเป็นเครื่องปลุกใจได้เป็นอย่างดี เช่น เถาวัลย์บางชนิดพันต้นไม้ไม่มีเลี้ยวไปทิศทางอื่นต้องพันเลี้ยวไปทางทักษิณาวัตรเสมอ สังเกตเห็นเช่นนี้ก็มาระลึกถึงตัวหากเราจะทำจิตให้ก้าวไปสู่ความดีอันยิ่งยวด เราต้องเอาอย่างเถาวัลย์คือเดินทางทักษิณาวัตร เพราะพระพุทธองค์ได้ทรงแสดงว่า กายกัมมัง วจีกัมมัง มโนกัมมัง ปทักขิณังฉะนั้น เราต้องทักษิณาวัตรคือ เวียนไปทางทักษิณเสมอ นั่นคือเราต่อสู้ทำตนให้เหนือกิเลสที่จะลุกลามใจ มิฉะนั้น เราก็สู้เถาวัลย์ไม่ได้ ต้นไม้บางชนิดมันแสดงความสงบให้เราเห็นด้วยตา ที่เราเรียกกันว่า ต้นไม้นอนถึงเวลากลางคืนมันหุบใบ หุบก้าน เมื่อเราไปนอนอยู่ใต้พุ่มไม้ต้นนั้น จะมองเห็นดาวเดือนอย่างถนัดในเวลากลางคืน แต่พอถึงเวลากลางวันแผ่ก้านแผ่ใบมืดทึบอย่างนี้ก็มี เรื่องเหล่านี้ก็ล้วนเป็นคติเตือนใจว่าขณะเรานั่งสมาธิหลับตาภาวนานั้น ให้หลับแต่ตา ส่วนใจเราต้องให้สว่างไสว เหมือนต้นไม้นอนในเวลากลางคืน ซึ่งใบไม้ไม่ปิดตาเรา เมื่อระลึกนึกคิดได้อย่างนี้ ก็ได้แลเห็นประโยชน์ของการอยู่ป่า จิตใจก็เกิดความห้าวหาญ ธรรมะธรรมโมที่ได้เรียนมา หรือที่ยังไม่ได้เรียนรู้ ก็ได้ผุดมีขึ้นเพราะธรรมชาติเป็นผู้สอน จึงได้มานึกถึงหลักวิทยาศาสตร์ของโลก ที่ทุกประเทศพากันทำฤทธิ์ทำเดชต่างๆ นานา และทำได้อย่างสูงๆ น่ามหัศจรรย์ ล้วนแต่ไม่ปรากฏว่ามีตำราในโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัยมาแต่ก่อน นักวิทยาศาสตร์พากันคิดได้จากหลักธรรมชาติ ซึ่งปรากฏมีอยู่ในโลกนี้ทั้งสิ้น เรามาหวนคิดถึงธรรมะก็มีอยู่ตามธรรมชาติเหมือนวิทยาศาสตร์นั่นเอง เมื่อคิดได้อย่างนี้ก็หมดห่วงในเรื่องการเรียน แล้วมาระลึกถึงพระพุทธเจ้าและพระสาวกทั้งหลาย ล้วนแต่ได้เรียนสำเร็จจากหลักธรรมชาติทั้งนั้นไม่ปรากฏว่าเคยมีตำรับตำรามาแต่ก่อน

ด้วยเหตุผลต่าง ๆ ดังได้กล่าวมาข้างต้นนี้ ตัวเราจึงยอมโง่ทางแบบและตำรา ต้นไม้บางชนิดมันนอนกลางคืน แต่ตื่นกลางวัน บางชนิดก็นอนกลางวันแต่ตื่นกลางคืน สัตว์ป่าก็เช่นเดียวกัน นอกจากนั้นยังได้ความรู้จากพฤกษชาติ ซึ่งมันคลายรสในตัวของมันออก บางชนิดก็เป็นประโยชน์แก่ร่างกาย บางชนิดก็เป็นโทษแก่ร่างกาย อาทิ เช่น บางคราวเราเป็นไข้ เมื่อเข้าไปอยู่ใต้ต้นไม้บางชนิด อาการไข้ก็หายไป บางคราวเราสบายดี แต่พอเข้าไปอยู่ใต้ต้นไม้บางชนิด ธาตุก็เกิดแปรปรวน บางคราวเราหิวข้าวหิวน้ำ แต่พอเข้าไปอยู่ใต้ต้นไม้บางชนิด อาการหิวเหล่านั้นก็หายไป การได้ความรู้ต่างๆ จากพฤกษชาติเช่นนี้ เป็นเหตุให้นึกถึงแพทย์แผนโบราณ ซึ่งนิยมสร้างรูปฤๅษีไว้เป็นที่เคารพบูชา ฤๅษีนั้นไม่เคยได้เรียนตำรายามาแต่ก่อน แต่มีความสามารถสอนแพทย์แผนโบราณให้รู้จักยารักษาโรคได้ โดยวิธีการเรียนธรรมชาติโดยทางจิตเหมือนอย่างตัวเรานี้เอง น้ำ พื้นแผ่นดินหรืออากาศธาตุก็เช่นเดียวกัน

ฉะนั้น เมื่อทราบเรื่องราวต่างๆ เหล่านี้ เราก็ไม่ค่อยจะสนใจในเรื่องยารักษาโรค คือเห็นว่ามันมีอยู่ทั่วไป ส่วนที่ว่าเราจะรู้หรือไม่รู้ อันนั้นเป็นเรื่องของตัวเราเอง นอกจากนั้นยังมีคุณความดี อย่างอื่นที่จะต้องบริหารตัวเอง นั่นคืออำนาจแห่งดวงจิตที่สามารถทำให้สงบระงับลงได้อย่างไร ก็ยิ่งมีคุณภาพสูงขึ้นไปยิ่งกว่านี้อีกหลายสิบเท่า ซึ่งเรียกว่า ธรรมโอสถ สรุปแล้ว คุณประโยชน์ที่ได้รับในการอยู่ป่าที่สงัดเพื่อปฏิบัติทางจิตนี้ เห็นจริงตัดข้อสงสัยในคำสอนของพระตถาคตได้เป็นข้อๆ ด้วยเหตุนี้ เราจึงยอมปฏิบัติตนเพื่อ วิปัสสนาธุระ ตลอดไปจนกว่าชีวิตจะหาไม่

ผลประโยชน์ที่เกิดขึ้นเนื้อที่ในการที่ได้ปฏิบัติทางจิตนี้ ถ้าจะนำมาพรรณนาก็มีอยู่มากมาย แค่จะขอกล่าวแค่เพียงสั้นๆ เสมอเพียงเท่านี้

ท่านพ่อลี ธัมมธโร วัดอโศการาม สมุทรปราการ ตอนที่ 6

เขาถามว่า มีเงินใช้พอไหม ต้องการเท่าไร ไม่ต้องเกรงใจเรียกได้ทุกเวลา

ได้ตอบเขาเป็นภาษาอังกฤษว่า Thank you very much เขาก็ยิ้มตอบ ตั้งแต่วันนั้นก็ได้รับความสบายใจทุกประการ

พอจวนได้เวลาเข้าพรรษา มีพระองค์หนึ่งซึ่งรักใคร่กันมาก เป็นเจ้าหน้าที่อยู่ที่สารนาถชื่อ สังฆรัตนะ ได้ชวนไปอยู่จำพรรษาที่โน่น จึงได้ตอบตกลงไปกับท่าน วันรุ่งขึ้นท่านได้ออกเดินทางไปก่อน ถึงวัน 14 ค่ำ เดือน 8 เราจึงได้ออกเดินทางตามไป พอดีเพลวัน 15 ค่ำ ก็ถึงวัด เพื่อนฝูงได้จัดหาที่พักให้ตึกหลังใหญ่มี 40 ห้องอยู่กันคนละห้อง แล้วได้จำพรรษาที่สารนาถนี้ ในระหว่างจำพรรษาก็ได้รับความสะดวกสบาย เพื่อนที่รู้จักกันเมื่อมาครั้งก่อนก็ยังอยู่ การขบฉันก็สะดวก คือในเวลาเช้า เขาได้นำนม โอวัลติน โรตี 3-4 แผ่น มาส่งให้ถึงที่ทุกวัน ฉันเท่านี้ก็รู้สึกอิ่ม แต่พอสายหน่อยเขาก็ให้ฉันข้าวสวย แกงถั่วแกงงา ไม่มีเนื้อสัตว์ ฉันเจ บางวันก็มีอาหารคาว

ระหว่างอยู่จำพรรษามีการสวดมนต์เย็น เสร็จแล้วไปนมัสการพระเจดีย์องค์ใหญ่ยอดหักอยู่เหนือวิหาร บางวันก็ไปเที่ยวเมืองพาราณสี ไปเที่ยวดูสถานที่ของพวกพราหมณ์ วัดธิเบต วัดพม่า วัดฮินดู วัดลังกา ฯลฯ

จวนๆ เวลาออกพรรษา เดือนหงาย สวดมนต์แล้วขึ้นไปนั่งพักอยู่หน้าวิหารคนเดียว การสวดมนต์ก็สวดเหมือนพระไทย แต่เร็วที่สุด วันที่นั่งพักอยู่หน้าวิหารเป็นเวลากลางคืนเดือนหงาย ได้นั่งสมาธิเพ่งมองดูยอดพระเจดีย์ ระลึกถึงพระเจ้าอโศกมหาราช ว่ามีบุญคุณมากต่อพระศาสนา มองเพ่งไปนานๆ เกิดแสงสว่างวูบวาบกระจายตามต้นไม้และพระเจดีย์ นึกในใจว่า พระบรมธาตุของพระพุทธเจ้าคงมีจริง

อยู่มาวันหนึ่งเวลาจวนออกพรรษา เจ้าหน้าที่พุทธสมาคมได้มานิมนต์ไปรับพระธาตุ และพระอัฐิธาตุของพระโมคคัลลาน์และพระสารีบุตร ซึ่งทางราชการได้นำไปสมโภชที่กรุงนิวเดลฮี และได้นำส่งกลับมาโดยเครื่องบิน จึงได้พากันไปต้อนรับที่สนามบิน เครื่องบินถึงเวลาประมาณ 11.00น.เศษ เมื่อเครื่องบินจอดเรียบร้อยแล้ว เขาได้ให้เราเข้าไปรับพระเจดีย์ทองเหลืององค์เล็กๆ ซึ่งเป็นที่บรรจุพระธาตุพระโมคคัลลาน์และพระสารีบุตร จึงได้นำมาถึงพุทธสมาคม แต่ไม่ได้ขอเขาดู เพราะใจรู้สึกเฉยๆ ต่อจากนั้นเขาได้จัดส่งพระธาตุนั้นไปรักษาไว้ที่สำนักงานเมืองกัลกัตตา เป็นอันว่าเราไม่มีโอกาสได้เห็น

พอออกพรรษาแล้ว ก็ได้รับจดหมายด่วนบ้าง ธรรมดาบ้าง ซึ่งส่งไปจากประเทศไทยและประเทศพม่า มีใจความในจดหมายว่า ขอให้เรากลับไปเมืองย่างกุ้งด่วน เพราะเจ้าแม่สุทันตะจันทเทวีได้รับเงินเดือนแล้ว ดีอกดีใจ ลูกชายลูกสาวของท่านได้ชักชวนเพื่อนฝูงจะสร้างวัดถวายที่เมืองย่างกุ้ง ขอให้มารีบจัดการ เมื่อได้ทราบ ดังนั้นจึงได้รีบเดินทางกลับเมืองกัลกัตตา เมื่อมาถึงแล้วได้เตรียมวีซ่าพาสปอร์ตกลับมาเมืองย่างกุ้ง วันที่ไปถึง คณะกรรมการสร้างวัดได้พากันไปรับที่สนามบิน แล้วก็พาไปวังเจ้าแม่ในวันนั้น ณ ที่นั้นมีกรรมการนั่งประชุมกันอยู่ประมาณ 30 กว่าคน คณะกรรมการประกอบด้วย เจ้านาย ข้าราชการ พ่อค้าคหบดี ได้มาประชุมหารือกัน จะซื้อที่ดินถวายให้สร้างวัด ที่ดินที่จะซื้อมีลักษณะเป็นเนินเขาดินสูงๆ มีเนื้อที่ประมาณ เก้า เอเคอร์ เจ้าของจะขายในราคาราว 3 หมื่นรูปี เมื่อได้ทราบโครงการย่อๆ แล้ว ก็ได้กลับไปพักอยู่ที่พระเจดีย์ตามเคย

ต่อมาได้นำเรื่องความนี้ไปหารือเอกอัครราชทูตไทย ตอนนั้น พระมหิทธาฯ ได้ย้ายไปประจำประเทศอื่นแล้ว คงเหลืออยู่แต่ ม.ล.ปีกทิพย์ มาลากุล ดำรงตำแหน่งแทน จึงได้นำเรื่องนี้มาหารือ ท่านกล่าวว่า เรื่องเช่นนี้ถ้าทำเป็นทางราชการได้จะดีมาก ทางทูตจะได้ช่วยเหลือได้เต็มที่ ความเห็นทางฝ่ายคณะกรรมการก็อยากให้ทางไทยได้ช่วยเหลือ เพราะมีความประสงค์จะสร้างวัดให้เป็นแบบไทยทุกอย่าง ประธานกรรรมการเป็นคนแก่อายุมาก เป็นที่เกรงขามของคนในสมัยก่อน เพระในอดีตเคยเป็นนักการเมืองสำคัญคนหนึ่งของพม่า อายุประมาณ 70 ปี เป็นอาจารย์ของตะขิ่นนุ นายกรัฐมนตรีของพม่า (ในสมัยนั้น- ผู้พิมพ์) ในเรื่องนี้เราเองก็นึกว่าคงสำเร็จ ได้ไปติดต่อกับคนไทยซึ่งอยู่ในเมืองย่างกุ้งหลายสิบคน ต่างคนต่างพากันดีใจ

อยู่ต่อมาไม่นานก็ได้รับจดหมายจากกทม.บ่อยๆ ได้ทราบข่าวเรื่องไม่ดีบางเรื่องเกี่ยวถึงนายบุญช่วย ศุภสีห์ จึงได้คิดกลับประเทศไทยเพื่อที่จะได้มาติดต่อกับคณะรัฐบาลไทยและคณะสงฆ์ไทยให้ทราบเรื่องด้วย

เดือนธ.ค.พ.ศ.2494 ได้โดยสารเครื่องบินจากสนามบินย่างกุ้งถึงกรุงเทพฯ ตอนนี้พระที่ได้ติดตามไปได้กลับมาก่อนหลายวันได้มาพักอยู่กับสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (อ้วน) ที่วัดบรมนิวาส และได้นำเรื่องการสร้างวัดที่เมืองย่างกุ้งกราบเรียนสมเด็จฯ ๆ ได้ตรึกตรองอยู่เป็นเวลาหลายวัน เกือบๆ จะได้รับอนุญาตให้ไปประเทศพม่าอีก ก็เผอิญมีเรื่องบางอย่างแทรกซึมเข้ามา คือมีพระสงฆ์บางรูปเมื่อได้ทราบข่าวว่าจะตั้งวัดขึ้นในเมืองย่างกุ้ง ก็ได้แสดงตัวติดต่อเป็นเจ้ากี้เจ้าการ เขาแสดงความหมายว่า พระอาจารย์ลีทำไม่สำเร็จนอกจากเขา เรื่องนี้ทางเมืองย่างกุ้งได้มีจดหมายมาบอกข่าวอย่างนี้ เขาจะรู้ได้อย่างไรไม่ทราบ พระองค์ที่แสดงตัวเป็นเจ้ากี้เจ้าการนี้เป็นพระเถระชั้นผู้ใหญ่ทรงสมณศักดิ์ ซึ่งอยู่ในพระนครนี้เอง เมื่อได้รับทราบเรื่องราวเช่นนี้เราก็ปล่อยมือ ไม่เกี่ยวข้อง โดยได้มีจดหมายไปถึงเอกอัครราชทูตไทยประจำประเทศพม่าขอถอนเรื่องนี้ ในที่สุดเรื่องนี้เป็นอันยุติไป จนกระทั่งทุกวันนี้ก็ไม่เห็นมีใครไปก่อสร้างขึ้น

เมื่อเหตุการณ์ได้เป็นไปดังที่กล่าวมาแล้ว จึงได้ออกเดินทางจากวัดบรมนิวาส กลับไปเยี่ยมญาติโยมที่ จ.จันทบุรี ระหว่างนี้ได้มีคนบางจำพวกซึ่งอิจฉาริษยาพยาบาทเรา ได้หาเรื่องทำลายชื่อเสียงเกียรติคุณทุกวิถีทาง มีอยู่มากมายหลายคน แต่จักไม่ขอกล่าวชี้ตัว เพราะถือเสียว่าคนเหล่านี้เป็นผู้ช่วยสร้างความดีให้แก่เรา ๆ ยิ่งมีมานะสูงขึ้นทุกทีๆ

อยู่มาจวนจะเข้าพรรษาก็ได้เดินทางจาก จ.จันทบุรี กลับมาพักอยู่ที่วัดบรมนิวาสตามเคย แล้วได้เดินทางไปอบรมญาติโยมที่วัดเสน่หา จ.นครปฐม ต่อจากนั้นได้ไปพักอยู่ที่วัดประชุมนารี จ.ราชบุรี ที่วัดนี้มีเจ้าจอมทรัพย์วัฒนาเป็นประธาน ได้ไปนิมนต์มา ได้ไปพักอยู่ที่วัดนี้หลายวัน ได้มีเหตุการณ์แปลกๆ เกิดขึ้นหลายอย่าง

เช้าวันหนึ่งมีหญิงคนหนึ่งอายุประมาณ 20 ปี เข้ามานั่งอยู่หน้าธรรมาสน์สักครู่หนึ่งก็เกิดอาการชัก จึงได้ทำน้ำมนต์รดให้ ไล่เลียงถามดูได้ความว่ามีปีศาจตนหนึ่งเป็นผู้ชายได้ถูกฆ่าตายโหง ได้อาศัยอยู่ในบริเวณนี้แล้วได้เข้าสิงคน จนเกิดมีโรคขึ้นในตัว เป็นปุ่มแผลโตเท่านิ้วหัวแม่มือ พอทราบเรื่องราวอย่างนี้ เราก็ไม่มียาอะไร เวลานั้นกำลังนั่งฉันหมากอยู่ จึงเอาชานหมากขว้างไปให้เขากิน อาการที่เป็นปุ่มแผลในตัวหายไป ได้ปรากฏเหตุการณ์อย่างนี้ถึง 3 ครั้ง และมีคนเห็นอยู่หลายคนด้วยกัน

อยู่มาวันหนึ่งจวนๆ จะออกเดินทาง มีหญิงคนหนึ่งชื่อนางสมร หลานสาวนางเง็กที่อยู่กรุงเทพฯ เคยบวชเป็นชี สึกออกไปมีสามีอยู่ที่ราชบุรี อายุประมาณ 40 ปี สามีเป็นอดีตผู้พิพากษา มีบุตรชาย 1 คน อายุ 15 ปี คนๆ นี้ นับถือเรามาก ไปคราวไหนก็ไปหาทุกที วันนั้นเวลาประมาณห้าโมงเย็น นางสมรได้นำดอกไม้ธูปเทียนไปถวาย จึงได้พูดถามขึ้นคำหนึ่งว่า แม่สมรต้องการอะไร เขาตอบว่า จะมาขอลูกจากหลวงพ่อ เจ้าของเองได้ยินแล้วรู้สึกใจไม่ค่อยดี เพราะมีคนน้อยและแกก็พูดเบาๆ เสียด้วย เลยพูดออกมาว่า อย่าเพิ่งพูดกัน เพราะนึกคิดไปถึงเหตุการณ์ข้างหน้าว่า ถ้าเกิดมีความจริงขึ้นเราก็แย่ ฉะนั้นเรื่องนี้จึงขอเปิดเผยความจริงให้ทราบทั่วกันว่า เป็นอย่างไร

ถึงเวลาประมาณ 1 ทุ่มเศษ ได้มีญาติโยมมาประชุมกันบนศาลาประมาณร้อยคนเศษ แม่สมรมานั่งอยู่ใกล้ๆ ข้างธรรมาสน์ พอให้ศีลแสดงธรรมะอบรมจิตใจเพื่อสร้างบุญสร้างกุศลสร้างบารมีแล้ว แม่สมรก็พูดขึ้นดังๆว่า อะไรๆ ฉันไม่อยากได้ทั้งนั้น ฉันอยากได้แต่ลูก จะขอลูกจากหลวงพ่อ เราจึงพูดกับแกว่า ไม่เป็นไร หลวงพ่อจะให้ ที่ตอบดังนี้เพราะเคยทราบเรื่องในพระสูตรอยู่บ้าง จึงได้พูดเป็นทีเล่นๆ ว่า ขอให้ตั้งใจ ทำจิตให้ดีในวันนี้ ฉันจะอธิษฐานอาราธนาให้เทวดาเอาลูกมาให้ เมื่อแกนั่งสมาธิเสร็จแล้ว แกก็บอกว่า รู้สึกสบายใจ ดีใจ เคยนั่งหลายหน ไม่เหมือนวันนี้ จึงบอกว่า นั่นจะสำเร็จละ

พอวันรุ่งขึ้น ได้ออกเดินทาง จ.ราชบุรี โดยทางรถไฟไป จ.ประจวบคีรีขันธ์ ขุนทัศนวิภาคเป็นศิษย์ติดตามไป ได้ไปพักอยู่ที่ป่าช้าข้างสถานีปราณบุรีฯ 1 คืน ตื่นเช้าให้ขุนทัศน์ฯไปติดต่อซื้อตั๋วรถไฟ ขุนทัศน์ฯ มีเงินอยู่ 120 บาท สมัยหลังสงครามใช้ธนบัตรที่พิมพ์จากอเมริกาใบละ 100 บาท และใบละ 20 บาทเหมือนกัน ได้ตั๋วมาแล้วใบละ 100 บาทหายไป เพราะเข้าใจว่าใบละ 100 บาทเป็นใบละ 20 บาท จึงได้ส่งให้คนขายตั๋วไป ขุนทัศน์ฯ จะกลับไปที่สถานีอีกเพื่อทวงคืน แต่ได้พูดห้ามว่า เราโง่อย่าไป อายเขา ขุนทัศน์ฯ มีความเสียใจคิดอยากจะกลับบ้าน จึงได้พูดปลอบใจไว้ ป่าช้าที่พักนี้อยู่บนเนินสูง เป็นป่าเขาดิน เขาว่าที่นั่นคนอยู่ไม่ได้ ผีดุ ได้พักอยู่หนึ่งคืน ก็ไม่ปรากฏว่ามีเหตุการณ์อันใด

ต่อจากนั้นได้เดินทางโดยรถไฟจนถึง จ.สุราษฏร์ธานี ไปพักอยู่ที่เนินดินเขาสูง ข้างสถานีสุราษฏร์ธานี ตกเวลาค่ำได้มีคนมาสนทนาด้วย ได้พบคนสำคัญสองคน คือ นายพ่วงและนายผาด ได้เข้ามาหาแล้วเปิดเผยความลับให้ฟังว่า บ้านผมอยู่ จ.นครปฐม แต่ก่อนเคยเป็นคนร้ายชั้นเสือ เคยฆ่าคนตายหลายศพ ครั้งสุดท้ายได้ฆ่ายายแก่คนหนึ่งตายคาที่ เพราะมีคนบอกว่ามีเงิน 4,000 อยู่ใต้หมอน จึงได้ลอบขึ้นไปฟันคอยายแก่ ค้นใต้หมอนได้เพียง 40 บาท ตั้งแต่วันนั้นมาก็เสียใจ คิดเลิกทำการโจรกรรม ถึงกระนั้นก็ยังรู้สึกเสียวลูกปืน ขอให้หลวงพ่อช่วยหาเครื่องป้องกันภัยให้ด้วย จึงพูดว่า ถ้าโยมเว้นได้จริงจะให้ของดี จะไม่ให้ตายด้วยปืน แกก็ปฏิญาณสาบานว่า ผมเลิกแน่ จึงได้ให้คาถาให้แกภาวนาประจำตัว

พอวันรุ่งขึ้นแกมาหาอีก แล้วเล่าว่าเวลานี้น้องชายกำลังต่อสู้กับตำรวจอยู่ที่อำเภอ นอกเขตจังหวัด มีพรรคพวกเก้าคน ที่ตำรวจจับตัวไว้ได้ก็มี แต่ขณะนี้ยังจับตัวน้องชายไม่ได้ เรื่องนี้เกรงจะเกี่ยวพันมาถึงตัวด้วย จะให้ทำอย่างไรดี จึงได้แนะนำว่าให้โยมรีบไปแจ้งความที่สถานีตำรวจด่วน แล้วให้นำเจ้าที่ตำรวจออกติดตาม แกได้ปฏิบัติตามคำแนะนำทุกอย่าง ต่อมาวันหลังปรากฏว่าพวกปล้นได้ยอมจำนนแก่ตำรวจทั้งหมด นายพ่วงเป็นผู้ประกันตัวน้องชายออกมาได้ ในที่สุดเมื่อคดีถึงศาลพวกปล้นรับสารภาพหมดทุกคน ศาลตัดสินให้จำคุก แต่เพราะรับสารภาพจึงลดโทษให้กึ่งหนึ่ง

การที่มาพักที่นี่ไม่สู้สบายใจนัก เพราะมักจะมีคนไม่ดีมาติดต่ออยู่เสมอ ที่ทำไปล้วนแต่เป็นเรื่องดี ถึงกระนั้นก็ยังหวาดว่าคนอื่นจะเข้าใจผิดว่าเราช่วยโจร จึงได้รีบเดินทางต่อไปยังอำเภอทุ่งสงแล้วไปนมัสการพระบรมธาตุที่ จ.นครศรีธรรมราช ตอนนี้ขุนทัศน์ฯ ได้ขอลากลับกทม. เขาได้ซื้อตั๋วรถไฟให้แล้วส่งขึ้นรถไฟให้เดินทางไปคนเดียว ตอนเย็นได้เดินทางไปถึงองค์พระเจดีย์ จ.นครศรีธรรมราช ได้พักอยู่ในวัดพระมหาธาตุ มีคนเลื่อมใสในการปฏิบัติ พระองค์หนึ่งซึ่งเป็นเพื่อนกันและอยู่ที่วัดนี้ก็สนใจ จึงได้อยู่อบรมญาติโยมพระเณรพอสมควร แล้วได้ออกเดินทางไปยัง จ.สงขลา เมื่อถึง อ.หาดใหญ่ได้พักอยู่ที่ป่าช้าปักกริม ซึ่งเป็นที่รกรุงรังและ เงียบสงัด พักอยู่ไม่กี่วัน พระมหาแก้วเพื่อนของเราได้มาติดตาม พบกันตรงนั้น ได้พักอยู่พอสมควรแล้วก็ได้ออกเดินทางวิเวกไปตามตำบลต่างๆ

ในปีนี้ได้อยู่จำพรรษาที่วัดควนมีด ได้ทำการอบรมพระเณรญาติโยมทางจิตใจแทบทุกคืน มีการแสดงธรรมะเกือบทุกคืน เมื่อทอดกฐินเสร็จออกพรรษาแล้ว ได้เดินทางกลับมาพักที่เขาควนจง ซึ่งเป็นหมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่งอยู่ใกล้คลองเรียน อยู่มาวันหนึ่งได้เห็นญาติโยมไหลหลั่งกันมามากมายเป็นเวลาหลายวันจึงได้สอบถามดูได้ความว่า เขาจะมาดูงูใหญ่รัดผู้หญิงที่เขาควนจง เขาลือกันว่ามีงูใหญ่หงอนแดง รัดผู้หญิงไว้บนยอดเขาไม่ถึงเวลาไม่ยอมปล่อย เมื่อชาวบ้านได้ทราบข่าวนี้ จึงพากันแตกตื่นมาดูพลุกพล่านอยู่บริเวณใกล้ที่เราพักอยู่ แต่ในหมู่บ้านที่เราไปพักอยู่ไม่ปรากฏว่ามีใครได้ยินข่าวนี้ เป็นเรื่องที่น่าขบขันอย่างยิ่ง พักอยู่ที่นี้พอสมควรแล้วได้ออกเดินทางไปพักบ้านทุ่งโพธิ์ ตลาดคลองแงะและอำเภอสะเดา เวลานั้นผู้บังคับกองสถานีตำรวจอำเภอสะเดาถูกโจรจีนยิงตาย เนื่องในการต่อสู้กับพวกคอมมิวนิสต์ ขณะที่ไปพักอยู่นั้น ตอนกลางวันมีคนมาหามาก แต่พอค่ำลงก็รีบพากันกลับ เขาบอกว่ากลัวพวกคอมมิวนิสต์มาปล้น จึงได้พูดว่า ขอให้โยมพากันมาฟังเทศน์เถอะ รับรองว่าคืนนี้ไม่มี พอตกค่ำเวลาประมาณสองทุ่ม มีคนมาเต็มโบสถ์ จึงได้เทศน์อบรมญาติโยม

วันหลังก็กลับไปป่าช้าปักกริม อ.หาดใหญ่ ซึ่งเป็นสถานที่เคยพักมาก่อน เมื่อกลับมาพักครั้งนี้ชาวอำเภอหาดใหญ่พากันมาอบรมศีลธรรมจิตใจ และฟังเทศน์ทุกคืน

ต่อจากนี้ได้เดินทางกลับมา จ.นครศรีธรรมราชได้แวะเยี่ยมสำนักปฏิบัติที่อำเภอร่อนพิบูล แล้วเดินทางต่อไปพักที่อำเภอทุ่งสง นายสังเวชเสมียนแผนกศึกษาธิการได้เป็นศิษย์ติดตามมาด้วยได้ไปพักอยู่ที่ถ้ำทะลุมาพอสมควรแล้ว ออกเดินทางต่อไป จ.ชุมพร จับรถไฟจาก จ.ชุมพร ถึง จ.เพชรบุรี ถึงตอนนี้ได้ทราบว่าสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ ได้มีจดหมายติดตามให้กลับจึงได้เดินทางต่อไปยังราชบุรี พักทีวัดประชุมนารี หลวงอรรถฯ ผู้ว่าราชการ จ.ราชบุรี และนายอำเภอเมืองได้ไปตามตัวให้กลับกรุงเทพฯ เพราะสมเด็จฯ วัดบรม ต้องการพบ ระหว่างที่พักอยู่ที่วัดประชุมนารี ได้มีพระองค์หนึ่งถูกจับ มาพักอยู่ที่เขาแก่นจันทร์ มีหญิงนุ่มขาวห่มขาว 4-5 คน ทราบว่ามาจากบ้านโป่ง เขาอยากมาพบเราแต่ไม่กล้าขึ้นมาหา เพราะพระกำลังมีคดี ไม่ใช่เรื่องของตัวแต่น่าเล่า คือเขาเล่าว่าพระองค์นั้นนั่งเทศน์มาก ภาวนามาก เมื่อยขา ขอให้ชีนวดให้ ชีก็นวดให้จริงๆ เลยเกิดเหตุ สืบสวนดูแล้วเป็นพระไม่มีใบสุทธิ ทราบว่าทางการได้จับสึกไป

ระหว่างที่พักอยู่ที่ราชบุรี แม่สมรได้ออกมาหาแล้วบอกว่า ฉันตั้งครรภ์ได้สองเดือนกว่าแล้วหลวงพ่อ เขาพูดต่อไปว่า ขอถวายลูกแก่หลวงพ่อเดี๋ยวนี้เพราะเป็นลูกหลวงพ่อ ไม่ใช่ลูกคุณหลวง สังเกตว่าเขาพูดจริงๆ จังๆ แต่เราเฉย แต่แปลกใจว่าไม่เคยมีบุตรถึงสิบห้าปีแล้ว (แม่สมร) แล้วทำไมเป็นได้อย่างนั้น ต่อจากนั้นได้เดินทางกลับพระนครพักที่วัดบรมนิวาส พอดีสมเด็จฯ อาพาธ จึงได้พยาบาลท่านพอสมควร

ระหว่างที่พักอยู่ที่วัดบรมนิวาสนี้ ได้มีผู้มาฝึกสมาธิกันมาก มีพวกธนบุรี พระนคร และลพบุรี วันหนึ่งปรากฏเหตุการณ์แปลก มีหญิงคนหนึ่ง ชื่อแม่ขอม คนลพบุรี ได้นำเอาพระธาตุมาถวายสามองค์ จึงได้ถามแกว่า เอามาจากไหน ได้รับตอบว่า ได้อาราธนาขอจากพระพุทธรูปที่ตั้งอยู่บนหัวนอนของท่านพ่อนั้นเอง

พระพุทธรูปองค์นี้เป็นพระได้มาจากเชียงตุง ในสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง เป็นพระของนายอุดมฯ มีเหตุการณ์แปลกประหลาดหลายอย่างเกี่ยวกับพระพุทธรูปองค์นี้ ตามที่นายอุดมฯ ได้เล่าให้ฟัง

ตอนนี้จะขอย้อนกล่าวถึงประวัติพระพุทธรูปองค์นี้ แต่เดิมมานายอุดมฯเป็นคนไม่เชื่อพระ เป็นข้าราชการทำงานแผนกสื่อสารเกี่ยวกับวิทยุ ครั้งสมัยสงครามโลกครั้งที่สองได้ติดตามกองทัพไทยไปเมืองเชียงตุง มีพลโทประพันธ์เป็นแม่ทัพ วันหนึ่งนายอุดมฯ ได้ไปพักอยู่ที่วัดเก่าแก่หนึ่งกับพวกพลทหาร เวลาค่ำได้เอนหลังลงนอนยังไม่ทันหลับก็ได้เห็นแสงสว่างพุ่งจากหัวนอน นายอุดมฯจึงได้รีบลุกขึ้นตรวจดูว่ามีอะไร ธรรมดาวิสัยของนายอุดมฯขณะนั้นถึงจะได้อยู่ใกล้พระก็ไม่เคยกราบไหว้ วันนั้นเกิดแปลกประหลาดขึ้นในใจ ก็ยืดคอดูบนแท่นพระได้เห็นพระพุทธรูปสำริดสีดำองค์หนึ่งสูงหนึ่งคืบเศษ หน้าตักกว้างประมาณสามนิ้วเศษดำใสเป็นเงาเหมือนมีคนขัดทุกวัน เมื่อเห็นเช่นนั้นก็รีบฉวยพระพุทธรูปองค์นั้นใส่กระเป๋า ตั้งแต่นายอุดมฯ ได้พระองค์นี้ไว้ ฐานะความเป็นอยู่ดีขึ้นมาก มีคนนิยมช่วยเหลือ ชักจะเป็นผู้มีเงินใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือย คือได้เงินจากชาวบ้านในถิ่นนั้นๆ เอง

ต่อมาเมื่อสงครามโลกครั้งที่สองได้สงบลง นายอุดมฯ ได้เดินทางกลับ ได้มาพักอยู่ริมฝั่งแม่จัน ในคืนวันนั้นพระพุทธรูปองค์นี้ได้เข้าฝัน บอกกับนายอุดมฯ ว่า อ้ายดมมึงจะเอากูข้ามไป กูไม่ไปกับมึง นายอุดมฯ ก็ไม่สนใจ คิดว่าพระโลหะจะมีอำนาจอะไร ในที่สุดได้นำพระพุทธรูปองค์นั้นกลับไป จ.จันทบุรี ตัวเองได้ลาออกจากราชการ ไปทำการค้าขาย ในระหว่างนี้หน้านายอุดมฯ ดำลง ผอมลง ฐานะก็ฝืดเคืองลงทุกที

อยู่มาวันหนึ่งลูกเมียเกิดเจ็บป่วยไปตามๆ กัน รักษาอย่างไรก็ไม่หาย หลวงพ่อได้มาเข้าฝันอีก กูไม่ยินดีอยู่กับมึง มึงต้องเอากูไปส่งที่เก่าของกู พอดีปีนั้นเราได้ออกธุดงค์ไป จ.ปราจีนบุรีพักอยู่ที่เขาฉกรรจ์ ประมาณเดือนเมษายนได้ออกเดินทางข้ามดงทะลุ ถึง จ. จันทบุรี นายอุดมฯ ทราบข่าววิ่งไปหาและพูดว่า ผมแย่หลวงพ่อ ลูกเมียเจ็บ ยากจน พระพุทธรูปเข้าฝันว่าให้นำกลับไปส่งที่เดิม จะให้ผมทำอย่างไรดี จึงตอบว่า หลวงพ่อท่านอยู่ป่า ชอบวิเวก เอามาไว้กับเราก็ได้ นายอุดมฯ จึงนำพระพุทธรูปองค์นั้นมาให้ไว้ แต่จะฝากหรือถวายไม่ทราบชัด ก็ได้เก็บไว้บูชาตามธรรมดา นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา อาการป่วยของลูกเมียนายอุดมฯ ก็หายหมด และนายอุดมฯได้เดินทางมาอยู่ จ.พระนครปีพ.ศ. 2485 เรื่องราวเกี่ยวกับพระพุทธรูปองค์นี้ยังมีแปลกประหลาดอีกหลายอย่างแต่ขอเล่าย่อๆ ไว้เพียงเท่านี้ก่อน

ต่อมาก็นึกสงสัยในเรื่องพระบรมธาตุว่าเป็นมาได้อย่างไร เพราะเรื่องเหล่านี้ไม่เคยสนใจมาเลยตั้งแต่บวช แต่ก็ได้รับไว้จากแม่ขอมและเก็บไว้บูชา

กาลต่อมาได้ทราบว่าแม่ขอมได้พระบรมธาตุอีก แต่พระพุทธรูปองค์นี้เวลานั้นได้นำมาฝากไว้ที่วัดบรมนิวาส กุฏิรามแข ส่วนเราได้กราบลาสมเด็จฯเดินทางไป จ.ลพบุรี ปีนั้นได้ทำงานวิสาขบูชาที่วัดมณีชลขันธ์ ในวันพฤหัสบดีกลางเดือนหก ในวันนั้นได้คิดขึ้นในใจว่า พระบรมธาตุนี้ถ้าไม่ได้เห็นกับตาไม่ยอมเชื่อ เพราะจะจริงหรือไม่จริงก็ยังไม่ทราบ

ต่อจากนั้นรู้สึกว่าท่านสนใจนั่งสมาธิได้นานๆ บางวันนั่งได้ตั้งสองชั่วโมง ขณะที่ท่านนั่งท่านก็ให้เราพูดธรรมะให้ฟังประกอบไปด้วย เมื่อจิตของท่านได้ตั้งสงบดีแล้ว เราพูดธรรมะถวายพระเดชพระคุณท่าน รู้สึกจิตของท่านเป็นไปตามคำพูดของเรา วันหนึ่งท่านได้พูดขึ้นว่า เราได้บวชมาเป็นเวลานาน ไม่เคยเกิดความรู้สึกแบบนี้เลย

หลังจากนี้ เราไม่เคยพูดธรรมะให้ท่านฟังยืดยาวอย่างนี้อีกเลย พอเอ่ยขึ้นเพียงสองสามคำ ท่านก็รู้ในความหมาย ส่วนตัวเราก็ดีใจ วันหนึ่งท่านได้กล่าวอีกอย่างหนึ่งว่า นักศึกษาธรรมะและปฏิบัติธรรมะ ต่างมาติดข้องกันอยู่แค่ความคิดเห็นนี้เอง จึงไม่สามารถทำอะไรให้สำเร็จลุล่วงไปได้ ถ้าทุกคนมีความคิดเห็นถูกต้อง การปฏิบัตินั้นเป็นเหตุไม่เหลือวิสัย

ในระหว่างที่จำพรรษากับท่าน ก็รู้สึกเบาในใจการที่จะต้องชี้แจงเหตุผล ท่านได้บอกเราว่า แต่ก่อนเราไม่เคยนึกว่า การทำสมาธิเป็นของจำเป็น

เมื่อเป็นเช่นนี้ท่านได้รับสั่งอีกว่า พระเณรก็ดี ญาติโยมก็ดี ประโยชน์ยังไม่พอ ขอให้คุณช่วยหาโอกาสอบรมให้ด้วย

ต่อจากนั้นท่านได้สั่งพระเถระผู้ใหญ่ในวัดให้ทราบความประสงค์จึงได้เกิดมีการอบรมกันขึ้นที่ศาลาอุรุพงษ์ ในปี พ.ศ. 2495 ได้มีญาติโยม พระ เณร หลายวัดมาร่วมรับการอบรมด้วย คุณท้าวสัตยานุรักษ์ก็ได้ออกมาพักอยู่กุฏิเนกขัม ปฏิบัติจิตใจได้ผลดี มีความรู้เกิดในจิตแปลกประหลาด จนกระทั่งยอมเสียชีวิตอยู่ที่วัดบรมนิวาส

พอออกพรรษแล้วได้ลาท่านไปเที่ยวต่างจังหวัด เพราะอาการของสมเด็จฯ ค่อยทุเลาลง กลับมาอยู่วัดบรมฯ ในปีที่สองได้เข้ามาทำวิสาขบูชา ในวันนั้น ได้เข้านั่งในโบสถ์ทำสมาธิ ได้ปรากฏเหตุการณ์อีกคือเห็นพระบรมธาตุเสด็จ เพราะคืนนั้นได้นึกว่า เราตาลูกเล็ก อยากได้ตาโตๆ มองทางไกลๆ ได้ร้อยเส้นพันวา หูเราเล็ก อยากได้หูโตๆ ฟังได้รอบโลก ปากเราเล็ก อยากได้กว้าง เทศน์กัณฑ์เดียวให้ก้องอยู่ห้าวัน ห้าคืน นึกอย่างนี้จึงตั้งใจปฏิบัติตนเองในอาการสามอย่างคือ

1. ปากใหญ่ คืออย่ากินมาก พูดมาก ในวันสำคัญ

2. หูอยากโต คือ อย่าไปสนใจฟังเรื่องราวที่ไม่เป็นสาระ ตัดปาก อดข้าว ตัดหู อย่าไปรับรู้อะไรทั้งหมด

3. ตาโต คืออย่าเห็นแก่นอน

เมื่อนึกอย่างนี้ จึงไม่ยอมนอนในวันวิสาขะ ประมาณตีห้าเศษ ได้พระบรมธาตุหลายองค์ที่โบสถ์วัดบรมนิวาส

ต่อมาได้อยู่จำพรรษากับสมเด็จฯ อีก ปีนี้ญาติโยมแตกตื่นสนใจมากกว่าปีก่อน แต่ปรากฏมีเหตุไม่ดีเข้าแทรก เพราะมีพระบางองค์เกิดอิจฉา คอยหาเรื่องราวตัดรอนทำร้ายให้เสื่อมเสีย แต่ไม่อยากออกนามในทีนี้ ใครอยากทราบรายละเอียดขอให้ติดตามไปถามท้าวสัตยานุรักษ์หรือสมเด็จฯ

วันหนึ่งตอนค่ำหนึ่งทุ่ม มีพระองค์หนึ่งชื่อพระครูปลัดเทียนเข้าไปหาในกฏิ พูดค่อยๆ ว่า อาจารย์อย่าน้อยใจ ผมสนับสนุนอาจารย์ทุกอย่าง ตอบว่า สาธุ มีเรื่องอะไรขอให้ทราบ ไม่เคยคิดน้อยใจเสียใจ ท่านจึงบอกความจริงให้ทราบทุกอย่างว่า เรื่องนี้รู้ถึงสมเด็จฯ แล้ว ถ้าสมเด็จฯ สงสัยคงเรียกตัวมาถาม ถ้าเรียกเมื่อไรให้ไปบอกผม ผมรู้เรื่องของอาจารย์หมดแล้ว ในที่สุดสมเด็จฯ ก็ไม่เคยพูดสักคำ ไม่เคยถามสักอย่าง มีแต่สนทนาธรรมะเป็นนิจ ได้มีบัตรสนเท่ห์เกิดขึ้นมีใจความว่า พระครูธรรมสารชอบแต่งคัมภีร์ พระอาจารย์ลีชอบคุยกับแม่ออก มหาเปรมหัวหงอกอยากเป็นสมภาร หลวงตาปานขี้คุยธรรมะ หนังสือสนเท่ห์ฉบับนี้ พระครูธรรมสารได้ถูกซักไซ้เกือบแย่ คือหาว่า พระครูเป็นคนด่าเรา ในที่สุดเราไม่เคยรู้เรื่องอะไรเลย ดูเหตุการณ์ต่างๆ รู้สึกว่าไม่เหมาะสมหลายเรื่อง แต่เราไม่สนใจ

พอออกพรรษาแล้ววันหนึ่ง มหาณรงค์ได้มาเยี่ยมสมเด็จฯ แล้วลงมาขอหลักฐานจากใบสุทธิ เสร็จแล้วไปเรียนสมเด็จฯ ว่าจะขอสมณศักดิ์ให้เป็นพระครู ซึ่งสำนักงานมหามกุฏได้ทาบทามมา สมเด็จฯได้เรียกตัวไปถามว่า เขาว่าอย่างนี้ เราจะว่าอย่างไร จึงตอบว่า เกล้าฯ เป็นพระ ไม่จำเป็น ไม่อยากเกี่ยวข้องในเรื่องนี้ แต่ไหนแต่ไรมา นึกถึงแต่การสร้างความดีให้แก่หมู่คณะเท่านั้น ท่านจึงพูดว่า เราจะตอบเขาเอง ต่อมาท่านได้เล่าคำตอบให้ฟังว่า พระอาจารย์ลีนี้เธอมาอยู่กับเรา เพราะเราเป็นคนเรียกตัวมา เธออยู่ด้วยความเคารพนับถือเรา พวกท่านจะมาตั้งสมณศักดิให้เธอ เราถือว่าจะมาไล่พระอาจารย์ลีนี้หนีไปจากเรา ท่านว่าท่านจะตอบอย่างนี้ เราก็ สาธุ พอใจ ในที่สุดก็ยกเลิกกันไปในปีนั้น

ต่อมาออกพรรษา สมเด็จฯ บรรเทาป่วย ก็ได้กราบลาเดินทางออกไปวิเวกอีกตามเคย ปีนี้เป็นปีครบรอบ 100 ปี ในการที่ได้สร้างวัดสุปัฏวนาราม จ.อุบลราชธานี สมเด็จฯ ได้รับสั่งว่า งานนี้ให้คุณขึ้นไปช่วยเขา ฉันจะให้พระบรมธาตุที่เธอถวาย ไปเป็นเครื่องระลึกของวัดด้วย พูดแล้วท่านให้ตรวจดูพระบรมธาตุบนที่บูชาซึ่งอยู่เบื้องบนศีรษะท่าน ปรากฏว่ามีพระบรมธาตุเสด็จมาอยู่ในครอบแก้วเป็นจำนวน 40 กว่าองค์ จึงได้ยกมาถวายท่าน ๆ รับสั่งว่า แปลก ๆ ตั้งแต่เราบวชมาไม่เคยปรากฏอย่างนี้ จึงได้คัดเลือกเอาของเราและของคุณไปด้วย เมื่อได้พูดสั่งอย่างนี้ ก็ได้ตั้งใจไปงานฉลองพระคุณท่าน

งานสมโภชวัดสุปัฏฯ ครั้งนี้กลายเป็นงานใหญ่โตขึ้น ทางราชการได้มอบเงินให้ก้อนหนึ่ง เพื่อเป็นการฉลองวัดสุปัฏฯ ครั้งนี้ได้กำหนดการออกเดินทางจาก จ.พระนคร ในวันที่ 18 มี.ค. ในกำหนดการมี จอมพลผิน ชุณหวัน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตร และพลโทหลวงสวัสดิ์ฯ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมเป็นประธาน ก็ได้ร่วมไปในงานนี้

วันหนึ่งได้เดินทางไป จ.ลพบุรี แล้วได้ทราบข่าวมีการเปลี่ยนแปลงวันกำหนดการ จึงได้รีบกลับมา จ.พระนคร เมื่อมาถึงสมเด็จฯ ได้เรียกตัวไปหาว่า เขาเปลี่ยนแปลงกำหนดวันเดินทางแล้ว ให้คุณออกเดินทางไปตามขบวนเขา ฉันจะมอบพระบรมธาตุให้เป็นภาระของตัว ส่วนตัวเองไม่ได้พูดว่าอย่างไร ในที่สุดกลับมาตรองดูเหตุการณ์ที่กุฏิแล้ว เราจะทำตามไม่ได้ จึงได้กราบเรียนท่านว่า เกล้าฯ ไปไม่ได้ เพราะใบกำหนดการซึ่งกระทรวงได้กำหนดขึ้นเป็นตราครุฑว่า วันที่สิบเจ็ด จะตั้งให้ประชาชนเข้าชม มาบัดนี้ล้มโครงการหมด เกล้าฯ แจกใบกำหนดการไปแล้ว วันที่ 17 คงมีคนมามาก เมื่อเกล้าฯ ไปเสียก่อนก็ต้องถูกตำหนิ เหตุนี้เกล้าฯ จึงไม่ไป พระผู้ใหญ่ต่างก็จะไม่ไป คือนายเชาวน์ ฯ เป็นคนก่อเหตุ ไม่ได้แจ้งให้คณะสงฆ์ทราบ คือเรื่องมีว่า จอมพลผินฯ ได้ปรารภว่า เราค่อยๆ เดินทางไปพักที่นครราชสีมา เพื่อเปิดโอกาสให้คณะทหาร ตำรวจ ข้าราชการ และพ่อค้า ประชาชนได้มีโอกาสนมัสการพระบรมธาตุเสียหนึ่งคืนก่อน เหตุนี้กำหนดการจึงผิดไป

ในที่สุด ในกระบวนแรกก็ไม่ได้ไปด้วย เพระท่านสั่งว่า ให้คุณอยู่  ถ้ามีคนมาก็ให้เอาพระบรมธาตุให้ชมที่ศาลาก็แล้วกัน เป็นอันตกลงกันตามท่านสั่ง วันรุ่งขึ้นได้จัดพระบรมธาตุสีมุกดาหารสามองค์โตกว่าเมล็ดผักกาดไปใส่ภาชนะแก้วให้ญาติโยมชมที่ศาลาอุรุพงษ์ คนนั้น คนนี้ก็อยากดูเพราะไม่เคยเห็น พอเปิดสำลีออกเห็นสามองค์ คนนั้นก็แหย่ คนนี้ก็หยิบ เลยหายไปสององค์ เหลือเพียงหนึ่งองค์ พอถึงวันที่สิบแปด ได้ขึ้นรถด่วนไปอุบลราชธานี มีคนติดตามไปรวม 14 คน

พอไปถึงอุบลฯ แล้ว ก็ได้ไปทำพิธีฉลองสมโภชพร้อมทั้งฝังศิลาฤกษ์ ตึกมหาเถระที่จะสร้างขึ้นในวัดสุปัฏฯ อยู่มาคืนหนึ่ง ได้มีปรากฏการณ์ขึ้นในประมาณเวลาสี่ทุ่มเศษ กำลังนั่งสมาธิอยู่ในโบสถ์ เวลานั่งหลับตาได้บังเกิดแสงวาบๆ ขึ้นเหมือนแสงนีออน เปิดๆ ดับๆ ทุกคนต่างพากันลืมตาขึ้น ก็ปรากฏว่ามีคนเก็บพระบรมธาตุได้ 2-3 คน พอดึกเข้าก็มีปริมาณมากเข้าทุกที มีคนนั่งอยู่ประมาณห้าสิบคน ชักให้เกิดความสงสัยและฉงนสนเท่ห์แก่คนภายในและภายนอกโบสถ์โดยลำดับ เมื่อดึกพอสมควรได้หยุดพัก

รุ่งขึ้นเวลากลางวันก็มีเรื่องอื้อฉาวขึ้นในตลาด ได้มีชายคนหนึ่งซึ่งไม่เคยเข้าวัดเลยมาเล่าว่า เมื่อคืนฝันเห็นดาวตกที่วัดสุปัฏฯ เยอะแยะ นึกว่าคราวนี้ ถ้ามีสิ่งใดศักดิสิทธิ์ที่เกี่ยวกับพระพุทธศาสนา ก็ขอจงได้แสดงออกมา

ต่อมาตอนเย็นมีนายพิศ ประมงจังหวัด ได้นำเพื่อนครูหญิงคนหนึ่งมาหา ครูคนนั้นได้มาสนทนาสอบถามอย่างโลดโผน และจะขอลาสามีขอติดตามหลวงพ่อ เพราะหลวงพ่อพูดธรรมะเป็นอย่างอัศจรรย์ จึงตัดสินใจว่าจะหนีจากบ้านให้ได้ในคราวนี้ ส่วนสามีของเขาชื่อนายประสงค์ ทำงานอยู่ธนาคารออมสิน จ.อุบลฯเป็นคนนับถือศาสนาคริสต์ ก็เข้าใจว่าภริยาเป็นคนมีจิตผิดปกติจึงคอยติดตามอยู่เสมอ มีคนมาบอกว่า เขาถือคริสต์แต่ทำไมมานั่งอยู่ในโบสถ์ทั้งผัวทั้งเมีย ครูคนนี้เกิดจิตใจห้าวหาญขึ้นมา ได้เข้ามานั่งใกล้เราประมาณสองศอก ตัวเรานั่งบนเก้าอี้ สามีนั่งห่างไปประมาณห้า หกศอก มีคนนั่งอยู่ด้วยประมาณห้าสิบคน จึงได้ตั้งจิตอธิษฐานว่า วันนี้ขออำนาจสิ่งศักดิ์สิทธิ์จงช่วยข้าพเจ้า เพราะมีข่าวลือเกี่ยวกับพระบรมธาตุเกิดขึ้นว่า พระอาจารย์ลีมีอุบายหลอกลวงให้หลงเชื่อ พอทราบข่าวอย่างนี้ไม่มีที่พึ่งอันใด นอกจากเทพเจ้าและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายจะช่วยได้ หากมิฉะนั้นแล้ว พระพุทธศาสนาจะได้รับการดูหมิ่นเหยียดหยาม ขณะนั้นมีพระอริยะคุณาธาร นั่งอยู่หน้าพระประธาน พระนอกนั้นหนีหมด เพราะเป็นเวลาดึกแล้ว

ต่อจากนั้นได้สั่งให้ทุกคนนั่งเข้าสมาธิ แล้วพูดว่า "ถ้าใครไม่เชื่อให้นั่งดูอยู่นิ่งๆ  พอสักครู่หนึ่งก็รู้สึกว่ามีสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาวนเวียนอยู่รอบๆ ก็ได้บอกโยมทุกคนให้ลืมตา แล้วบอกนายประสงค์สามีครูคนนั้นว่า ลืมตาดูอาตมาๆ จะลุกเดี๋ยวนี้ พูดเสร็จก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้ ยืนสะบัดจีวรและอาสะให้เขาดู ขณะเดียวกันก็นึกถึงเทพยดาให้ช่วย อย่าให้เขาดูหมิ่นศาสนาของเขาได้ แล้วพูดดังๆ ว่า โยมพระบรมธาตุเสด็จ คนที่นั่งตรงหน้าฉันนี่จะได้พระธาตุ แต่เมื่อลืมตาแล้วอย่าไหวตัว ฉันเองก็ไม่ไหวตัว พูดเสร็จได้ยินเสียงวัตถุชิ้นหนึ่งตกลงบนพื้นโบสถ์ มีโยมหญิงคนหนึ่งลุกขึ้นจะตะครุบ เมื่อตะครุบก็วิ่งหลุดจากง่ามมือมาใกล้ที่นั่งเรา มีคนอีกคนหนึ่งวิ่งตามมา เราจึงร้องห้ามไว้ ต่อมาวัตถุนั้นได้แล่นไหวตัวไปตรงหน้าหญิงที่เป็นครูจึงพูดว่า ของคุณ นายประสงค์ดูให้ดี ครูคนนั้นหยิบวัตถุนั้นขึ้นมา เป็นหัวแหวนสวยงาม สิ่งนั้นคือเครื่องสักการะพระบรมธาตุ ครูคนนั้นบางคราวก็หลับตา บางคราวก็ลืมตา แต่เขาพูดว่า หลวงพ่อพาฉันไปนั่งบนยอดเขา ฉันเห็นแต่โครงกระดูกของฉันเอง แต่ฉันอยู่ได้อย่างไร ได้เงินเดือนๆ ละ ห้าร้อยบาท ไม่มีสุขเหมือนนั่งอยู่เดี๋ยวนี้ แกได้พูดแปลกๆ ขึ้นทุกที ในที่สุดคืนวันนั้น มีคนได้พระบรมธาตุไม่ต่ำกว่าสิบคน ทุกคนลืมตาดูในที่สว่างทั้งหมด เมื่อสว่างเช้ามืดมีนายแพได้กำเอาพระบรมธาตุมาถวายอีกหนึ่งชุด เขาบอกว่าได้มาเมื่อคืนนี้ สิ่งเหล่านี้ได้มอบไว้เป็นสมบัติของวัดสุปัฏฯ งานคราวนี้มีห้าวัน ห้าคืน

วันหนึ่งเป็นวันถวายผ้าไตรแก่พระที่ไปงาน คนในเมืองอุบลฯ ที่ยังสงสัยเราอยู่มีหลายคน แต่เขาไม่พูด คนที่เปิดเผยคือ แม่ทองม้วน เซียสกุล แกอธิษฐานว่า ถ้าอาจารย์องค์นี้ปฏิบัติดีจริง ขอให้ผ้าไตรของแกตกเป็นพระอาจารย์องค์นี้ เมื่อทำการจับฉลากแล้ว ผลปรากฏว่าผ้าไตรของนางทองม้วนฯ ได้ตกแก่เราจริงๆ

พองานนี้เสร็จเรียบร้อยก็เดินทางกลับกรุงเทพฯ ได้เที่ยวจารึกไปในสถานที่ต่างๆ ถึงเวลาเข้าพรรษาก็ได้มาเฝ้าสมเด็จฯ อีกตามเคย พรรษานี้อาการอาพาธของสมเด็จฯ หนักมากขึ้น การนั่งสมาธิมีน้อยมีแต่นอนทำ ต่อมาออกพรรษาแล้วสมเด็จฯ ก็มรณภาพ

ในระหว่างพรรษา สมเด็จฯ อาพาธมาก หืดกำเริบนอนไม่หลับ วันหนึ่งเวลาประมาณตีสองได้ให้พระมาตามเรา พระเณรวุ่นวายไปตามๆ กัน ท่านสั่งให้ไปรับหมอมาด่วน เจ้าคุณสุเมธีฯ ให้พระไปตามโดยทันที ให้เรามาพูดกับสมเด็จฯ เพราะพระองค์อื่นพูดไม่เชื่อ เพราะเป็นเวลาดึกจะไปตามหมออย่างไร จึงได้ขึ้นไปถามดูว่า วันนี้พระเดชพระคุณฉันยากี่เม็ด กี่เวลา ยาอะไร ท่านรับสั่งว่า มีอาการหายใจไม่ออก ได้คลำดูตามตัวปรากฏว่าร้อนผ่าว จึงจับได้ข้อหนึ่งว่าท่านฉันยาเกินไปหนึ่ง เม็ด หมอสั่งให้ฉันเวลาละหนึ่งเม็ด ท่านขี้เกียจฉันสองหน เลยฉันรวมทีเดียวสองเม็ด อาการก็จุกแน่น หายใจไม่ออก เราจับเหตุนี้ได้ เรียนถวายว่า อาการอย่างนี้เคยพบผ่านมา ไม่เป็นไร อีกประมาณสิบห้านาทีจะสงบ สักครู่ท่านก็หลับตาทำสมาธิ พระเณรเฝ้าอยู่หลายองค์ ท่านรับสั่งว่า สบายดีแล้ว ไม่ต้องตามหมอ

ต่อมาอีกหลายวันโรคเกิดกำเริบอีก ตอนนี้ออกพรรษาแล้วอาการป่วยหนักขึ้นมีอากาศเย็น เป็นเวลาฤดูหนาว วันหนึ่งตอนเช้าท่านให้เณรไปตาม เรากำลังมีแขก เณรมาบอก ท่านถามเณรว่า อาจารย์ลีอยู่ไหม เณรตอบว่า อยู่ ถ้าอยู่ไม่ต้องมา เราสบาย ถ้าไปนอกวัด ให้ไปตามมา

ต่อมาบ่ายประมาณห้าโมงเย็น ให้เณรไปดูอีก แต่เณรไม่ได้บอกเราเพราะกำลังนั่งสมาธิ เณรมานมัสการว่า ท่านอาจารย์ลีอยู่ ต่อมาครู่เดียวเวลาประมาณหกโมงเย็น เณรมาตามอีก ตอนนี้เราจึงรีบขึ้นไป เมื่อขึ้นไปพบแล้ว ท่านก็ได้รับสั่งอะไรหลายอย่างเกี่ยวกับวัด พอเสร็จการพูดสนทนาท่านก็เงียบ เราลงไปพักสักครู่เดียวก็เกิดเอะอะกันขึ้นอีกจึงรีบขึ้นไป มีพระปฏิบัติหนึ่ง เจ้าคุณธรรมปิฏกหนึ่ง มองดูอาการเห็นจะไม่ไหว พระเณรต่างพากันแตกตื่น หมอก็วุ่นวาย ในที่สุดดูอาการป่วยของท่านเห็นว่าหมดหวัง จึงพูดห้ามหมอ อย่ายุ่ง คือหมอเอามือล้วงคอเอาเสลดออก แต่ไม่เกิดผล จึงห้ามให้หมอหยุด สักครู่ก็สิ้นลมหายใจ เมื่อได้ชำระศพเรียบร้อยแล้ว ต่างคนต่างหารือกัน วันรุ่งขึ้นเตรียมการสรงน้ำ

ต่อมาคณะกรรมการสงฆ์ได้ทำบุญถวาย คณะกรรมการสงฆ์ได้มอบให้เราเป็นเจ้าหน้าที่โรงครัว ก็รับปากกับคณะสงฆ์ มีคุณนายตุ่น โกศัลยวิทย์ เป็นผู้ช่วย ในระหว่างเจ็ดวันแรก ไม่มีการเบิกจ่ายเงินจากกองกลางเลย มีแต่คนช่วย ทำบุญอยู่ถึง 50 วัน ในระหว่าง 50 วันนี้ได้เบิกเงินกองกลางมาจ่ายบ้าง เมื่อทำบุญครบแล้วนึกว่าเราจะต้องไปวิเวกพักผ่อนบ้าง จึงได้ออกเดินทางไปลำปางในวันที่สิบ เม.ย. เนื่องในงานผูกพันธสีมาวัดสำราญนิวาส แล้วได้ไปทำบุญอยู่เป็นเวลาหลายวัน

เสร็จจากงานนี้แล้วได้เข้าไปพักในถ้ำพระสบาย โรคกระเพาะเกิดกำเริบ มีอาการถ่ายท้อง ปวดท้องเป็นกำลัง มีข่าวลือว่าหลวงพ่อแย่ วันหนึ่งได้เข้านอนในข้างในเห็นก้อนหินก้อนหนึ่งจุกอยู่ปากถ้ำสูงประมาณสิบวา จึงเกิดความคิดว่าอยากสร้างเจดีย์ในถ้ำนี้ ได้ร้องสั่งญาติโยมผลักก้อนหินก้อนนี้ให้หลุดออกจากปากถ้ำ หินก็หลุดจริงๆ ช่วยกันขุดหลุม ตีต่อยหิน จนถึงเวลาประมาณบ่ายโมง มีรถยนต์จากลำปางไปรับว่ามารับไปโรงพยาบาล แต่เราหายแล้วไม่รู้ตัว ได้บอกเขาว่าจะสร้างพระเจดีย์ก่อนจะกลับจากถ้ำนี้ ได้ยืนหน้าถ้ำมองไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ มีทิวป่า เขียวชอุ่ม เมื่อเห็นต้นไม้เขียวสดดีก็นึกถึงต้นโพธิว่า ถ้าได้มาปลูกสักสามต้นจะดีมาก ได้พูดกับพระเณรอย่างนี้แล้วออกเดินทางกลับลำปาง แล้วเดินทางมาอุตรดิตถ์ เพราะมีโยมขึ้นไปตามให้กลับอุตรดิตถ์ด่วน เพราะมีศิษย์แก่คนหนึ่งอายุมากเป็นหญิงได้เกิดเป็นโรคจิตฟุ้งซ่านมาหลายวัน ได้มาพักช่วยเหลือให้พอสมควร ก็เดินทางมาพักอยู่พิษณุโลก พักอยู่ที่วัดราษฏร์บูรณะใกล้บ้านบุตรบุญธรรมคนหนึ่ง เรื่องบุตรบุญธรรมนี้น่าเล่าสู่กันฟัง แต่เป็นเรื่องที่ได้ผ่านมานานแล้ว ตั้งแต่ครั้งไปจำพรรษาบ้านผาแด่นแสนกันดารในคราวก่อน

แม่คนนี้ชื่อฟื้น สามีชื่อมหาน้อม วันหนึ่งได้ไปอบรมสมาธิอยู่ป่าวัดอรัญญิกไกลจากพิษณุโลก ประมาณหกกิโลเมตร มีข้าราชการ พ่อค้า ประชาชนไปนั่งสมาธิกันหลายคน อาทิ ผู้กำกับการตำรวจ หลวงพ่อสัมฤทธิฯ หลวงชื้นฯ ขุนเกษมฯ ร.อ.แผ้ว ฯลฯ ล้วนเป็นผู้ฝักใฝ่ในธรรมะปฏิบัติ ขณะกำลังนั่งสนทนาธรรมะกันอยู่ก็มีคนไปตาม บอกว่า ขอนิมนต์ไปเยี่ยมคนป่วยที่บ้าน ก็ได้รับปากกับเขา ผู้กำกับการฯ ได้นำไปส่งให้ถึงที่บ้านคนป่วย เมื่อไปถึงบ้านเขา เขาได้เล่าว่ามีพระธุดงค์องค์หนึ่งได้เดินทางมาจากภาคเหนือ มาทำน้ำมนต์ให้ ท่านบอกว่า ฉันรักษาไม่หายดอกโยม จะมีพระองค์หนึ่งมาโปรดโยมเร็วๆ นี้ แล้วท่านก็เดินธุดงค์ต่อไป พอมหาน้อมทราบว่าเรามาก็ตามไปจนพบ ได้สนทนากับมหาน้อม เขาเล่าว่า แม่ฟื้นภริยาเขาคนนี้เป็นโรคเกิดในสมัยอยู่ไฟ ได้ป่วยเป็นเวลาสามปีแล้ว ฉีดยาหมดเงินไปแปดพันกว่าบาทแล้วยังไม่หาย นอนอยู่อย่างนี้มาสามปีแล้ว ลุกไปไหนไม่ได้ พูดไม่ได้มาหนึ่งปีแล้ว แม้จะไหวตัวก็ไม่รอด เมื่อได้ฟังมหาน้อมเล่าแล้ว ก็ตอบเขาว่าฉันจะไปดู

พอเราเดินผ่านเข้าในธรณีประตู เห็นคนป่วยยกมือไหว้ผงับๆ เราไม่นึกว่าภาวะเขาเป็นอย่างไร ได้นั่งสมาธิ แม่ฟื้นพูดได้สองสามคำ แล้วไหวตัวยกมือไหว้จนกระทั่งลุกขึ้นนั่งหมอบอยู่กับหมอนได้ ก็บอกว่า ให้หาย หมดเวรหมดกรรม วันนั้นสั่งให้แกหยิบไม้ขีดจุดบุหรี่ถวาย แกก็ทำได้ วันรุ่งขึ้นสั่งไม่ให้ใครป้อนข้าว ให้หาข้าว หาแกงวางไว้ เขากินได้เอง สามีเขาเองเป็นผู้ไปถวายอาหารเรา พอกลับมาถึงบ้านเห็นแม่ฟื้นกินข้าวหมด ล้างถ้วยชามได้เรียบร้อย ลุกขึ้นคลานได้ พอตอนบ่ายไปเยี่ยมอีก เห็นญาติโยมของเขาหิ้วหม้อไหไปบ้านมหาน้อม ว่าจะไปเอาน้ำมนต์วิเศษ เมื่อเห็นดังนั้นเราลำบากใจ จึงรีบออกหนีเดินทางกลับ แต่ได้มีจดหมายถามข่าวคราวอยู่เสมอประมาณเดือนเศษ

แม่ฟื้นลุกเดินได้ ปีที่สองไปวัดใส่บาตรได้ ปีที่สามได้ติดตามมาอยู่ที่วัดบรมนิวาส เดินจากหัวลำโพงถึงวัดบรมฯ เดินจากที่พักขึ้นศาลาฟังเทศน์ได้เป็นปกติดี นี้ก็เป็นเรื่องที่น่าประหลาดอย่างหนึ่ง

ในสมัยที่เดินทางจากอุตรดิตถ์นั้น ได้เดินทางไปเพชรบูรณ์เพื่อไปเยี่ยมศิษย์ซึ่งไปตั้งสำนักอยู่ที่อำเภอหล่มเก่า มีนายอำเภอปีน เป็นผู้อุปการะ ได้พักผ่อนวิเวกอยู่พอสมควร ก็เดินทางเข้าดง ขึ้นเขาลงห้วยไปหลายคืน ตกถึงเขาลูกหนึ่ง ต่อจากนั้นได้ออกเดินทางไปตามเนินเขา เดินทางไปถึงเขาสูงลูกหนึ่ง มีป่าเต็งรังโปร่ง มองเห็นยอดเขายอดหนึ่งสูงลิ่ว เขาเรียกว่า เขาหอ ส่วนเพื่อนได้เดินทางไปล่วงหน้า เราเดินตามหลัง พอไปถึงเขานั้นรู้สึกว่าใจสบาย นึกไปถึงสมบัติอันหนึ่ง ซึ่งเป็นเหตุเหลือวิสัยว่า เราอยากจะบินไปยอดเขาหอ ยืนตัวตรงสะพายบาตรอยู่ครู่หนึ่ง ได้เคลิ้มฝันเห็นก้อนเมฆลอยต่ำลงมาจากอากาศ ได้ยินเสียงดังแว่วๆ ว่า ท่านอย่านึก ถึงคราวเป็นเอง แล้วนิมิตก็หายไป เวลาเดินทาง คราวนี้หิวน้ำจัดที่สุด รีบๆ ทางเดินมีแต่ฝูงหมาจิ้งจอก เพราะห่างบ้านคนมาก ก็ได้เดินทางเรื่อยมา มาพักอยู่บ้านวังน้ำใส เดินพุ่งไปข้ามห้วยข้ามดง เมื่อพ้นจากดงก็ถึงภูผาบิ้ง ซึ่งเป็นสถานที่ที่พระอาจารย์มั่นเคยมาพักอยู่ ทีนี้มีถ้ำ และเขาเล็กๆ ได้พักอยู่หลายวัน

ระหว่างพักอยู่นี้ วันหนึ่งเวลากลางคืนเงียบสงัด นั่งสมาธิแล้วเคลิ้มไป ปรากฏเหตุการณ์ขึ้นว่า มองเห็นยอดเขาสูงยอดหนึ่งมีต้นไม้อยู่หลายต้น อยู่ทางตะวัตตกของภูกระดึง มีบุรุษคนหนึ่งรูปร่างใหญ่โตสูงนุ่งผ้าเหลืองแก่ เอามือคว้าบนอากาศ เราไปยืนอยู่ใต้รักแร้ แกบอกว่า ต่อไปนี้มนุษย์จะลำบาก จะเกิดโรคตายด้วยน้ำเป็นพิษๆ นี้มีสองชนิดคือ

จะเกิดโรคตายด้วยน้ำเป็นพิษ และพิษนี้มีอยู่ 2 ชนิดคือ

1. น้ำหมอกน้ำค้าง เมื่อตกรดลงมาในนา คุณภาพของข้าวจะเสื่อม คนกินอาจเกิดโรค

2. เกิดจากน้ำฝน ถ้าพบน้ำฝนแปลก อย่าฉัน ให้สังเกตดังนี้

(ก) น้ำฝนสีแดง

(ข) น้ำฝนสีเหลืองมีรสผิดธรรมดา

น้ำฝนที่มีลักษณะดังนี้ ถ้ากินเข้าไปแล้วจะเกิดถ่ายท้อง เกิดเป็นเม็ดผื่นคัน ถ้ากินมากเข้าก็อาจถึงแก่ความตาย นี้ข้อหนึ่ง

ข้อสอง แกเอามือชี้ไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ เห็นน้ำทะลุขึ้นจากแผ่นเดิน น้ำนี้ไหลไปถึงที่ไหน มนุษย์จะเกิดโรคภัยไข้เจ็บ ถ้าใช้น้ำนี้รดผลไม้ๆ จะเกิดโรค อายุมนุษย์จะสั้นเข้าทุกที

ข้อสาม ได้ปรากฏเหตุการณ์บนยอดเขา พอแกยื่นมือออกไปทางไหนต้นไม้ก็หักเป็นระนาว จึงถามว่า เรื่องอะไร แกตอบว่า ผู้ใหญ่ที่ไม่มีศีลธรรมจะลำบากในกาลหน้า จึงได้ถามว่า เรื่องราวเป็นอย่างนี้แก้ได้ไหม แกตอบว่า โรคที่เกิดจากน้ำแก้ทันไม่เป็นไร ถ้าแก้ไม่ทันต้องตายภายใน 3 วัน 5 วัน 9 วัน ถามว่า ตัวอาตมาจะเป็นอย่างไร แกตอบว่า ตัวท่านไม่เป็นอะไร เพราะท่านรู้จักบุญคุณของผู้ใหญ่ จะบอกยาให้หนึ่งขนาน ถ้าท่านทราบข่าวว่าโรคเกิดขึ้นที่ใด ให้รีบไปช่วยโดยเร็ว จึงถามว่า ทานบอกยาให้เขาเองไม่ได้หรือ แกตอบ ได้ แต่ไม่เกิดประโยชน์ แต่ท่านต้องประกอบยาเอง ให้เอามะขามมาปอกเปลือกออก แช่น้ำเกลือ แล้วรินน้ำให้กิน หรือจะใช้น้ำกระเทียมดองกิน อาการโรคก็จะหาย แต่ท่านต้องทำเอง เขาบอกต่อไปว่าเขาชื่อ สันจิตโจเทวบุตร เหตุการณ์ดังกล่าวนี้เกิดขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2496